C'EST
OU
ประวัติความเป็นมา
ประเทศฝรั่งเศส ในยุคศตวรรษที่ 16 ตอนนั้นชาวฝรั่งเศสมีวันปีใหม่ตรงกับวันที่ 1 เมษายน กระทั่งมาถึง ค.ศ.1582 สันตะปาปาเกรกอรีที่ 13 จึงกำหนดให้ชาวคริสต์ทั่วโลกฉลองวันปีใหม่พร้อมกันวันที่ 1 มกราคม คราวนี้สมัยก่อน ข่าวสารไม่ได้กระจายรวดเร็วเหมือนสมัยนี้ คนบ้านนอกของฝรั่งเศสบางกลุ่มยังไม่รู้ แถมบางคนได้ยินแล้วก็ยังไม่เชื่อ เลยฉลองวันปีใหม่กันวันที่ 1 เมษายน เหมือนเดิม ทำให้พวกไม่ตกยุคเย้ยหยันพวกตกยุคว่า “หน้าโง่” แถมยังพยายามจะแกล้งหลอกคนกลุ่มนี้เพื่อความสนุกสนานอีกด้วย
ย้อนหลังกลับไปในศตวรรษที่ 16 ประเทศฝรั่งเศสถือว่าวันที่ 1 เมษายนเป็นวันขึ้นปีใหม่ ผู้คนจะพากันเฉลิมฉลอง จัดงานเลี้ยง และล้อมวงเต้นรำกันอย่างครึกครื้นจนถึงค่ำ
แต่มาในปี ค.ศ. 1582 พระสันตปาปาเกรเกอรี่ได้ประกาศใช้ปฏิทินใหม่สำหรับชาวคริสต์ ทำให้วันปีใหม่ถูกเปลี่ยนแปลงจากเดิมไปเป็นวันที่ 1 เดือนมกราคม อย่างไรก็ตาม เนื่องจากปัญหาด้านการสื่อสารที่ล่าช้าในยุคนั้น ยังคงมีประชาชนบางส่วนที่ไม่รู้ หรือรู้แต่ไม่เชื่อเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว พวกเขายังจัดงานฉลองวันปีใหม่ในวันที่ 1 เมษายนตามเดิม ทำให้คนอื่นๆ พากันเรียกพวกเขาว่า " พวกเมษาหน้าโง่" (April Fools) แล้วพยายามกลั่นแกล้งคนพวกนี้โดยส่งข้อความไปหลอก หรือล่อลวงให้หลงเชื่อเรื่องโกหกทั้งหลายว่าเป็นเรื่องจริง
แต่มาในปี ค.ศ. 1582 พระสันตปาปาเกรเกอรี่ได้ประกาศใช้ปฏิทินใหม่สำหรับชาวคริสต์ ทำให้วันปีใหม่ถูกเปลี่ยนแปลงจากเดิมไปเป็นวันที่ 1 เดือนมกราคม อย่างไรก็ตาม เนื่องจากปัญหาด้านการสื่อสารที่ล่าช้าในยุคนั้น ยังคงมีประชาชนบางส่วนที่ไม่รู้ หรือรู้แต่ไม่เชื่อเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว พวกเขายังจัดงานฉลองวันปีใหม่ในวันที่ 1 เมษายนตามเดิม ทำให้คนอื่นๆ พากันเรียกพวกเขาว่า " พวกเมษาหน้าโง่" (April Fools) แล้วพยายามกลั่นแกล้งคนพวกนี้โดยส่งข้อความไปหลอก หรือล่อลวงให้หลงเชื่อเรื่องโกหกทั้งหลายว่าเป็นเรื่องจริง
ในปัจจุบัน วันที่ 1 เมษายนจะถูกเรียกว่า "poisson d'Avril" พวกเด็กๆ จะแกล้งเพื่อนๆ ด้วยการเอากระดาษรูปปลาไปแปะไว้ข้างหลัง เมื่อฝ่ายที่ถูกแกล้งรู้ตัว คนแกล้งจะตะโกนว่า "poisson d'Avril!" (April Fish!) ซึ่งเป็นคำที่คนฝรั่งเศษใช้เรียกคนที่ถูกหลอก หรือถูกแกล้งในวันที่ 1 เมษายน
เช่นเดียวกัน ชาวอเมริกันก็นิยมหยอกล้อเพื่อนฝูง หรือคนแปลกหน้าในวันดังกล่าว ซึ่งการโกหกที่เป็นสากลที่สุดในวันนี้ คือการชี้ไปที่รองเท้าของเพื่อน และพูดออกมาว่า "เชือกรองเท้าของเธอหลุดแน่ะ" นอกจากนี้ ถ้าย้อนกลับไปในศตวรรษที่ 19 พวกอาจารย์จะแกล้งบอกกับลูกศิษย์ของเขาว่า "ดูโน่นสิ! ฝูงห่าน" แล้วชี้นิ้วขึ้นไปบนฟ้า ส่วนในโรงเรียนต่างๆ กลุ่มนักเรียนจะหลอกเพื่อนคนอื่นว่าโรงเรียนงดการเรียนการสอนในวันนั้น ซึ่งไม่ว่าจะเป็นการโกหกแบบไหน เมื่อไหร่ที่เหยื่อตกหลุมพรางตามแผนที่คนแกล้งวางเอาไว้แล้ว คนแกล้งจะตะโกนออกมาว่า "April Fool!"
อีกหนึ่งกลอุบายในการกลั่นแกล้งที่แทบจะกลายเป็นธรมเนียมปฏิบัติ คือการเทเกลือลงในโถใส่น้ำตาลเพื่อแกล้งคนที่นั่งข้างๆ แน่นอนว่าวิธีนี้คงไม่ดีแน่ถ้าจะเล่นกับคนแปลกหน้า แต่สำหรับนักเรียนหอ พวกเขามักจะมีกลเม็ดเด็ดๆ ที่จะทำให้แกล้งฝ่ายตรงข้ามได้อย่างแนบเนียน แถมได้ผลอยู่เสมอ นั่นก็คือการหมุนเข็มนาฬิกาของตัวเองให้เดินช้า 1 ชั่วโมง เพื่อหลอกรูมเมทให้มาเข้าชั้นเรียนผิดเวลา
หัวใจของการโกหกในวัน April Fool's Day คือความตลก โดยเรื่องที่โกหกต้องอยู่บนพื้นฐานที่ว่า ไม่ทำอันตรายให้คนอื่น ไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน ไม่เกี่ยวกับความเป็นความตาย เพราะฉะนั้น กลอุบายที่ยอดเยี่ยมที่สุดจะต้องทำให้ทุกคนหัวเราะได้ โดยเฉพาะคนที่ตกเป็นเหยื่อ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น