วันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2558

สนธิสัญญามาสทริชท์ (maastricht treaty)

มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยี่ยมซึ่งสนธิสัญญามาสทริชท์ เป็นสนธิสัญญาระหว่างกลุ่มประเทศประชาคมยุโรป เพื่อการรวมกันเป็นสหภาพทางเศรษฐกิจ และการเงินตามเป้าหมายขั้นที่สาม คือ การใช้เงินตราสกุลเดียว มีธนาคารกลางร่วมกัน การกำหนดนโยบายต่างประเทศ และนโยบายสังคมร่วมกัน รวมถึงการจัดระบบความร่วมมือทางทหาร ตำรวจ การรับรองกฎบัตรสิทธิมนุษยชน
โดยการพัฒนาการเงินสามขั้นตอน คือ

1)ให้มีการเคลื่อนย้ายเงินทุนอย่างเสรี โดยเริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ.2533
2)ให้มีการจัดตั้งสถาบันการเงินแห่งยุโรป และธนาคารกลางยุโรป โดยให้เริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2537
3)ให้มีการใช้เงินสกุลเดียวกัน ภายในปี พ.ศ.2540 หรืออย่างช้าไม่เกิน พ.ศ.2542

ท่องเที่ยวเวียดนามเก๋ๆ

ความหมายของเวียดนามหมายความว่า  “เวียด“ มาจากภาษาจีน แปลว่า ไกล หรือ เดินทางผ่านไป ส่วน “ นาม .” แปลว่า ทิศใต้เมื่อรวมกันแล้ว มีความหมายว่า ดินแดนทางตอนใต้ของชาวเวียด ซึ่งห่างไกลจากแผ่นดินใหญ่ของจีน และอาณาจักรแรกของชาวเวียดนามคือ อาณาจักร นามเวียด (อาณาจักรทางตอนเหนือ ) ส่วนทางตอนกลางและตอนใต้ในอดีตเป็นที่ตั้งของอาณาจักรจามปา และจากการตกเป็นเมืองขึ้นของจีนมานานเกือบพันปีทำให้เวียดนามเป็นประเทศเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมจากจีนเป็นส่วนใหญ่

ที่ตั้ง อาณาเขต และพื้นที่ 

  • ทิศเหนือ

     
    ติดกับสาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นระยะทาง 1,281 กิโลเมตร
  • ทิศใต้

     
    ติดกับทะเลจีนใต้
  • ทิศตะวันตก

    ติดกับประเทศลาว ระยะทาง 2,130 กิโลเมตร กัมพูชา ระยะทาง 1,228 กิโลเมตรและอ่าวไทย
  • ทิศตะวันออก

     
    ติดกับอ่าวตังเกี๋ย และทะเลจีนใต้
  • พื้นที่

    เวียดนาม มีพื้นที่ 331,033 ตารางกิโลเมตร หรือ คิดเป็น 0.645 เท่าของ ประเทศไทยเป็นประเทศมี ลักษณะเป็นแนวยาว โดยมีความยาวจากเหนือจรดใต้ 1,750 กิโลเมตร ขนานไปตามแนวยาวของคาบสมุทรอินโดจีน นอกจากนี้ ยังมีไหล่เขาและหมู่เกาะต่างๆ อีกนับพันเกาะเรียงรายตั้งแต่อ่าวตังเกี๋ยไปจนถึงอ่าวไทย
แผนที่ประเทศเวียดนาม
เขตการปกครอง
เวียดนาม แบ่งเขตการปกครองออกเป็น 59 จังหวัด และ 5 เทศบาลนคร โดย 5 เทศบาลนคร ประกอบด้วย ฮานอยโฮจิมินห์ไฮฟอง ดานัง และ เกิ่นเธอ

โทรศัพท์

ระหัสประเทศเวียดนาม คือ 84 การใช้โทรศัพท์สะดวกรวดเร็วไม่ว่าจะเป็นการติดต่อภายในประเทศหรือต่างประเทศ
หมายเลขโทรศัพท์ที่ควรรู้ 
ตำรวจ 113 ดับเพลิง 114 รถพยาบาล 115 สอบถามข้อมูลทั่วไป 1080

ชุดประจำชาติ

ชุดประจำชาติชาวเวียดนาม
ชุดประจำชาติชาวเวียดนามเรียกว่าชุด อ๋าวหญ่ายซึ่งแปลว่า ชุดยาว ส่วนมากจะนิยมใส่กันในเมืองใหญ่ๆหรือเจ้าหน้าที่ๆต้อนรับชาวต่างชาติ เช่นในสนามบิน นักศึกษาที่กำลังจะรับปริญญาถ่านรูปไว้เป็นที่ระลึกฃ

เวลาทำการของขององค์กรรัฐและเอกชน

  1. หน่วยงานราชการ สำนักงาน และองค์กรให้บริการสาธารณสุข 8.00 – 16.30 น. ซึ่งจะเปิดให้บริการตั้งแต่วันจันทร์ - วันศุกร์ พิพิธภัณฑ์จะเปิดให้บริการวันเสาร์อีกครึ่งวัน
  2. ร้านค้าเอกชนทั่วไป ให้บริการระหว่าง 6.00 – 18.30 น.
  3. ธนาคารพาณิชย์ ให้บริการตั้งแต่วันจันทร์ – วันศุกร์ ระหว่างเวลา 8.00 – 16.00 น. (หยุดพักเวลา 12.00 – 13.00 น.)
  4. สำนักงานไปรษณีย์โทรเลข ให้บริการ ตั้งแต่ 7.00 – 20.00 น.
  5. โรงงานอุตสาหกรรม ทำงานวันจันทร์ – วันศุกร์ และวันเสาร์อีกครึ่งวัน โดยเวลาทำงานรวมไม่เกิน 48 ชั่วโมง ต่อสัปดาห์ หากเกินจากนี้ต้องจ่ายค่าล่วงเวลา สำหรับวันหยุดประจำสัปดาห์ต้องจ่ายค่าจ้างเพิ่ม 2 เท่า และวันหยุดนักขัตฤกษ์จ่ายเพิ่ม 3 เท่า

    ลักษณะภูมิอากาศ

    เนื่องจากแผ่นดินของเวียดนามมีความยาว ทำให้ลักษณะภูมิประเทศ และภูมิอากาศแตกต่างกันค่อนข้างมาก ดังรายละเอียดต่อไปนี้

    ภาคเหนือ

    ภาคเหนือของประเทศเวียดนาม
    ภูมิประเทศ ประกอบด้วยภูเขาสูงมากมาย โดยเฉพาะเทือกเขาฟานสีปัน สูงจากระดับน้ำทะเล 3,143 เมตร สูงที่สุดในอินโดจีน และมีแม่น้ำสายสำคัญคือ แม่น้ำกุง ซึ่งไหลไปบรรจบกับแม่น้ำแดงเป็นดินดอนสามเหลี่ยมที่อุดมสมบูรณ์ เหมาะแก่การเพาะปลูกและยังเป็นที่ตั้งของเมืองฮานอย ซึ่งเป็นเมืองหลวงของเวียดนาม มีที่ราบลุ่ม Cao Bang และ Vinh Yen ตลอดจนเกาะแก่งกว่า 3,000 เกาะ ที่อ่าวฮาลองเนื่องจากพื้นที่บางส่วนอยู่ในเขตอากาศหนาว ซึ่งได้รับอิทธิพลกระแสลมแรงพัดจากขั้วโลก ทำให้มีสภาพภูมิอากาศหนาวเย็น ภูมิอากาศในเขตภาคเหนือแบ่งออกได้เป็น 4 ฤดู
    1. ฤดูหนาว(เดือนธันวาคม-กุมภาพันธ์) มีอากาศหนาวเย็น อุณหภูมิอยู่ที่ประมาณ 7 - 20 องศาเซลเซียส และจะหนาวที่สุดในเดือนมกราคม
    2. ฤดูใบไม้ผลิ(เดือนมีนาคม-เมษายน) จะมีฝนตกเล็กน้อยและชุ่มชื้น อุณหภูมิประมาณ 17 - 23องศาเซลเซียส
    3. ฤดูร้อน(เดือนพฤษภาคม-สิงหาคม) สภาพอากาศร้อนและมีฝน อุณหภูมิ 30 - 39 องศาเซลเซียส
    4. ฤดูใบไม้ร่วง(เดือนกันยายน-พฤศจิกายน) อุณหภูมิประมาณ 23 - 28 องศาเซลเซียส

    ภาคกลาง

    ภาคกลางของประเทศเวียดนาม
    ภาคกลาง พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ราบสูงซึ่งเต็มไปด้วยหิน ภูเขาไฟ หาดทราย เนินทราย และทะเลสาบ ภูมิอากาศในเขตภาคภาคกลาง 2 ฤดู
    1. ฤดูฝน(พฤษภาคม-ตุลาคม) เดือนที่อากาศร้อนที่สุดคือ มิถุนายน-กรกฎาคม อุณหภูมิเกือบ 40 องศา
    2. ฤดูแล้ง(ตุลาคม-เมษายน) เดือนที่อากาศเย็นที่สุด คือ มกราคม อุณหภูมิเกือบ 20 องศา

    ภาคใต้

    ภาคใต้ของประเทศเวียดนาม
    พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ราบสูง แต่ก็มีที่ราบลุ่มแม่น้ำโขง หรือชื่อที่รู้จักคือ กู๋ลอง (Cuu Long) อันเป็น พื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์ เป็นแหล่งเพาะปลูกที่ใหญ่ที่สุดของประเทศเวียดนาม และเป็นที่ ตั้งของกรุงโฮจิมินห์ซิตี้ หรือ ไซ่ง่อน ภูมิอากาศค่อนข้างร้อน อุณหภูมิประมาณ 27 - 35 องศา มี 2 ฤดู คือ
    1. ฤดูฝน(เดือนพฤษภาคม-พฤศจิกายน) เดือนที่ร้อนที่สุดคือ เดือนเมษายน อุณหภูมิประมาณ 39 องศา
    2. ฤดูแล้ง(เดือนพฤศจิกายน-เมษายน) เดือนที่อากาศเย็นที่สุดคือ มกราคม อุณหภูมิประมาณ 26 องศา

    เมืองหลวงและเมืองที่สำคัญ

    1. กรุงฮานอย

    กรุงฮานอย
    ฮานอย หมายถึงตอนต้นของแม่น้ำ ตั้งอยู่ตอนต้นอยู่บนลุ่มแม่น้ำแดง เป็นเมืองหลวงของประเทศเวียดนาม

    2.นครโฮจิมินห์

    นครโฮจิมินห์
    เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของเวียดนาม เดิมชื่อเมืองไซ่ง่อนและเป็นศูนย์กลางการค้า การสื่อสาร และการขนส่งของเวียดนาม

    3. ดานัง

    ดานัง
    เป็นหนึ่งในสามศูนย์กลางของวัฒนธรรมที่อยู่อาศัยที่เป็นที่รู้จักของโลก มีท่าเรือและท่าอากาศยานนานาชาติ เมืองดานัง เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรม ตั้งอยู่บนแม่น้ำหาน มีอ่าวดานังซึ่งมีหาดทรายยาวมากอยู่ทางทิศตะวันออก เป็นเมืองท่องเที่ยวยอดนิยมเมืองหนี่งของเวียดนามกลาง

    4. ไฮฟอง

    ไฮฟอง
    เป็นเมืองที่อยู่ทางภาคเหนือ มีท่าเรือน้ำลึกที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของประเทศรองจากท่าเรือนครโฮจิมินห์ ห่างจากนครฮานอยเมืองหลวง 105 กม. ตัวเมืองไฮฟอง ตั้งอยู่ริมฝั่งขวาของแม่น้ำ Cua Cam River ซึ่งเป็นหนึ่งในแม่น้ำสายหลักของแม่น้ำแดงและ มีท่าเรือไฮฟองเป็นท่าเรือที่สำคัญที่สุด

    การเดินทาง

    การเดินทางไปเวียดนาม

    การเดินทางระหว่างประเทศ

    เวียดนามมีสนามบินนานาชาติอยู่ 2 แห่ง คือ สนามบินนอยใบ กรุงฮานอย และ สนามบิน Tan Son Nhat โฮจิมินห์ หากเดินทางจากประเทศไทย สามารถเดินทางได้ดังนี้
    1. เดินทางไปเวียดนามเหนือ ใช้เส้นทาง กรุงเทพฯ – ฮานอย มีสายการบินที่บินอยู่หลักๆดังนี้ การบินไทย แอร์เอเซีย เวียดนามแอร์ไลน์ การ์ต้าแอร์เวย์
    2. เดินทางไปเวียดนามใต้ ใช้เส้นทาง กรุงเทพฯ – โฮจิมินห์ มีสายการบินที่บินอยู่หลักๆดังนี้ การบินไทย แอร์เอเซีย เวียดนามแอร์ไลน์ การ์ต้าแอร์เวย์
    3. การเดินทางโดยรถยนต์ การเดินทางโดยรถยนต์สามารถเดินทางได้ทั้งเวียดนามกลาง และ เหนือ แต่ที่นิยมกันจะป็นเวียดนามกลาง โดยเดินทางออกจากไทยมี่มุกดาหารผ่านประเทศลาวแขวงสะหวันเขต ผ่านแดนลาวเข้าสู้เมืองเว้ ดานัง ฮอยอัน

    การเดินทางภายในประเทศ

    มีสนามบินภายใน คือ สนามบินเว้ สนามบินดานัง สนามบินดาลัด
    สายการบินหลักภายในที่มีเที่ยวบินทุกวันจะเป็น เวียดนามแอร์ไลน์ ส่วนแอร์แม่โขงต้องเช็ครายละเอียดเรื่องวันและเวลาบินอีกครั้งหนึ่ง

    สถานที่ท่องเที่ยว

    สถานที่ท่องเที่ยวเวียดนามคงต้องแบ่งเป็นสามภาค คือ เวียดนามเหนือ เวียดนามกลาง เวียดนามใต้ โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

    1. เวียดนามเหนือ

    สุสานโฮจิมินห์

    เป็นสถานท่องเที่ยวหลักที่นักท่องเที่ยวสนใจเข้าชมกันมากเป็นอาคารสุสานที่เก็บร่างของอดีตประธานาธิบดีโฮจิมินห์ ซึ่งทางการเวียดนามได้ทำการตกแต่งบำรุงรักษาให้อยู่ในสภาพที่ดีและน่าชมเป็นอย่างยิ่ง
    สุสานโฮจิมินห์

    บ้านพักประธานาธิบดีโฮจิมินห์

    บ้านไม้ 2 ชั้นแบบใต้ถุนสูง ซึ่งจะเป็นทั้งที่ทำงาน รับแขก และ พักผ่อน ตัวบ้านยังคงได้รับการรักษาไว้เหมือนเพิ่งทำการสร้างเสร็จใหม่
    บ้านพักประธานาธิบดีโฮจิมินห์

    วัดเจดีย์เสาเดี่ยว

    วัดที่สร้างถวายแด่เจ้าแม่กวนอิมโดยมีตำนานที่เล่าขานว่ากษัตริย์ของเวียดนามพระองค์หนึ่งต้องการมีพระโอรสแต่ก็ไม่สามารถมีได้ คืนหนึ่งทรงสุบินเห็นเจ้าแม่กวนอิม และหลังจากนั้นพระองค์ได้พระโอรสสมใจ จึงได้สร้างวัดนี้ถวายแด่เจ้าแม่กวนอิมดังกล่าว
    วัดเจดีย์เสาเดี่ยว

    พิพิธภัณฑ์โฮจิมินห์

    เป็นอาคารที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่อดีตประธานาธิบดีโฮจิมนห์ภายในอาคารมีรูปปั้นและชีวประวัติ สิ่งของต่างๆที่เกี่ยวข้องกับประธานาธิบดี ตั้งแต่เยาวัยจนถึงการกอบกู้เอกราชให้กับประเทศเวียดนาม
    พิพิธภัณฑ์โฮจิมินห์

    วัดแห่งวรรณกรรม

    ในอดีตระยะเวลากว่า ร้อยปี วัดแห่งนี้ใช้เป็นสถานที่สอบจ้อหงวน เพื่อเป็นขุนนางในสมัยโบราณ จึงถูกขนานนามว่า เป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของเวียดนาม ซึ่งหลักฐานที่ปรากฎให้เห็นอยู่ในปัจจุบันคือ ป้ายหินที่สลักชื่อของผู้ที่สอบผ่านเป็นจ้อหงวนตั้งอยู่บนหลังเต่าภายในวัดแห่งนี้ และมีความเชื่อถึงปัจจุบันที่นักเรียน นักศึกษายังนิยมไปขอพรก่อนที่จะเข้าทำการสอบ หรือนักศึกษาที่กำลังจะรับปริญญาจะมาถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึก
    วัดแห่งวรรณกรรม

    ฮาลองเบย์

    อ่าวที่มีเกาะหินปูนจำนวนกว่า 1900 เกาะโผล่ขึ้นเหนือผิวน้ำทะเลทั้งใหญ่และเล็ก มีรูปร่างที่แตกต่างกัน บางเกาะมีถ้ำอยู่ด้วย ถ้ำที่มีชื่อเสียงและเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวคือ ถ้ำเสาไม้ เป็นถ้ำที่มีหินงอกหินย้อยสวยงามมากมาย ที่ท่าเทียบเรือมีเรือคอยให้บริการนักท่องเที่ยวหลายร้อยลำ ทั้งล่องแบบธรรมดาประมาณ 4 ชั่วโมง และพักค้างคืนในทะเล
    ฮาลองเบย์

    ฮาลองบก

    หรือนิงบิงห์เป็นจังหวัดหนึ่งของเวียดนาม ห่างจากกรุงฮานอยประมาณ 110 กม.ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2ชั่วโมงเศษ สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจคือวัดที่อายุกว่า ร้อยปี 2 วัด หลังจากชมวัดแล้ว หากเป็นชาวต่างประเทศจะถีบจักรยานไปยังท่าเรือ เพื่อชมธรรมชาติระหว่าง การล่องเรือที่ฮาลองบกนี้เป็นการล่องเรือพายนั่งได้ 4 คน ชมธรรมชาติทุ่งนา ป่าเขาสวยงาม ระหว่างนั่งเรือต้องเตรียมหมวกหรือร่มกันแดด ซึ่งการล่องเรือนี้จะใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง และไม่ต้องอารมณ์เสียสำหรับการพยายามขายสินค้าที่ระลึกของคนพายเรือ
    ฮาลองบก

    วัดธูปหอม (Perfume Pagoda)

    อยู่ห่างจากกรุงฮานอยประมาณ 60 กิโลเมตร แต่จะใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมงเศษเป็นการท่อเที่ยวชมธรรมชาติ ซึ่งการดินทางทั้งนั่งเรือพาย ขึ้นกระเช้าเป็นการท่องเที่ยวแบบวันเดย์ทัวร์จากกรุงฮานอย
    วัดธูปหอม( Perfume Pagoda )

    2. เวียดนามกลาง

    วัดเทียนมู่

    อยู่ที่เมืองเว้ ริมฝั่งแม่น้ำหอม เป็นศูนย์กลางทางพุทธศาสนานิกายเซน มีเจดีย์ทรงเก๋ง 8 เหลี่ยม สูงลดหลั่นกัน 7 ชั้น แต่ละชั้นหมายถึงภพต่างๆ ของพระพุทธเจ้า ภายในบริเวณวัดมีศิลาจารึก และ ระฆังสำริดขนาดใหญ่ ส่วนที่สำคัญที่สุดคือเมื่อ พ.ศ. 2506 เจ้าอาวาสชื่อ พระภิกษุทิกกวางหยุก วัดเทียนมู่นี้ได้ประท้วงรัฐบาลโดยการเผาตัวเอง
    วัดเทียนมู่

    ล่องเรือมังกร

    ที่เรียกว่าเรือมังกรคงเป็นเพราะว่าชาวเวียดนามให้ความเคารพนับถือมังกรมาก ซึ่งคอยปกป้องคุ้มครองเวียดนามจากการรุกรานของข้าศึกที่อ่าวฮาลองเบย์ เลยทำหัวเรือเป็นรูปของหัวมังกร ส่วนตัวเรือก็เหมือนปกติทั่วไปที่พิเศษ สำหรับการล่องเรือจะเป็นการแสดงศิลปพื้นเมืองและการร้องเพลงพื้นบ้าน การเล่นเครื่องคนตรีของชาวเมืองเว้
    ล่องเรือมังกร

    ตลาดดองบา

    เป็นตลาดขนาดใหญ่ ที่มีสินค้าให้ลูกค้าหรือนักท่องเที่ยวได้ช้อปมากมาย โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวไทย ช้อปกันจนแม่ค้าทั้งหลายพูดภาษาไทยได้ สินค้าส่วนใหญ่จะมาจากจีนส่วนจำพวกอาหารแห้งเช่นปลาหมึก กุ้งแห้ง ราคาจะถูกกว่าตลาดในเมืองไทย
    ตลาดดองบา

    พระราชวังเว้

    อันเก่าแก่และสวยงาม นี้สร้างขึ้นตามแบบวัฒนธรรมจีน ตัวอย่างเช่นเขตพระราชฐานชั้นในหรือเรียกว่า“นครต้องห้าม” สถานที่ที่จักรพรรดิเบ๋าได่ทำการมอบตราพระราชลัญจกร อันเปรียบเสมือนสัญลักษณ์แห่งพระราชอำนาจให้กับรัฐบาลสังคมนิยมเวียดนาม
    พระราชวังเว้

    สุสานจักรพรรดิ์ไคดินห์

    สร้างขึ้นบนเนินเขา ห่างจากเมืองเว้ประมาณ 10 กิโลเมตร อดีต เว้ เป็นเมืองเอกของราชวงศ์เหงียน จักรพรรดิ์ไดคินห์ เป็นจักรพรรดิ์องค์ที่ 12องค์สุดท้ายของราชวงศ์เหงียน หลังจากมีการขึ้นภาษีที่เรียกเก็บจากราษฏร ซึ่งส่วนใหญ่ยังยากจน และนำเงินส่วนหนึ่งของภาษีที่เก็บได้ ไปสร้างสุสานให้กับตนเองขณะที่ยังมีชีวิต เป็นเหตุให้ประชาชนไม่พอใจและเป็นที่มาของการสิ้นสุดราชวงค์เหงียน
    สุสานจักรพรรดิ์ไคดินห์

    พิพิธภัณฑ์จาม

    เป็นพิพิธภัณฑ์ที่แสดงความเป็นมาของชนชาติจาม ได้จัดสร้างขึ้นโดยสถาบันวิจัยทางโบราณคดีของฝรั่งเศสเมื่อปี พ.ศ.2479 และ นิทรรศการที่จัดแสดงนี้ สะท้อนถึงยุคสมัยทั้ง 4 ยุค ตามแหล่งกำเนิดของอารยธรรมได้แก่ หมี่เซิน ตราเกียว ด่งเดืองและทาพเมิน
    พิพิธภัณฑ์จาม

    หมู่บ้านแกะสลักหินอ่อน

    เป็นหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ห่างจากดานังมาทางเส้นทางฮอยอันประมาณ 8 กิโลเมตร เป็นหมู่บ้านที่มีอาชีพในการแกะสลักหินอ่อนมานานกว่า 300 ปีซึ่งหินที่ใช้แกะสลัก นำมาจากเขาที่อยู่ในบริเวณไกล้เคียงหมู่บ้าน ซึ่งปัจจุบันเหลือน้อยและต้องนำมาจากแหล่งอื่นๆ เพราะช่างแกะสลักที่มีควาามชำนาญนั้นต้องช่างจากหมู่บ้านนี้เท่านั้น
    หมู่บ้านแกะสลักหินอ่อน

    ฮอยอัน

    อดีตเป็นเมืองท่าสำคัญของเอเชียใต้ นักเดินเรือจากประเทศต่างๆเข้ามาค้าขายกันมาก จึงเกิดชุมชนของพ่อค้านักธุรกิจที่มาค้าขาย เข้ามาตั้งร้านค้าอยู่ในเมืองนี้ และปัจจุบันยังคงเห็นตึกอาคารรูปทรงของชาติต่างๆ เช่น จีน ญี่ปุ่น อินเดีย ฝรั่งเศส เป็นต้นและย่านการค้าเก่าแก่นี้ได้ขี้นทะเบียนเป็นเมืองมรดกโลกเมื่อปี พ.ศ. 2542 ทำให้มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามามากขึ้น
    ฮอยอัน

    สะพานญี่ปุ่น

    สะพานแห่งมิตรไมตรี สมันก่อน มีเพียงคลองกั้นแบ่งเขตซึ่งฝั่งตรงข้ามเป็นชุมชนของชาวญี่ปุ่น ชาวญี่ปุ่นจึงสร้างสะพานนี้ทอดข้ามคลองมา จึงทำให้มีลักษณะสถาปัตยกรรมเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ก่อสร้างเมื่อ 400 กว่าปีที่แล้วมีลักษณะเป็นรูปทรงโค้งของสะพานและหลังคามุงกระเบื้องสีเขียวและเหลืองเป็น คลื่น ตรงกลางสะพานมีเจดีย์ทรงจัตุรัสที่สร้างอุทิศให้แก่ดั๊กเดและตรันหวู ก่อนเดินข้ามสะพานด้านซ้ายมือจะมีรูปปั้นสุนัขกำลังนั่ง และเมื่อข้ามไปแล้วก็จะเจอกับลิงอีกตัว
    สะพานญี่ปุ่น

    สมาคมฟุกเกี๋ยน (Phouc Kien Assembly Hall)

    เป็นวัดที่นับเป็นศูนย์กลางของการเที่ยวชมเมืองโบราณฮอยอันหรือโฮ่ยอาน ซึ่งเป็นศูนย์รวมของชาวจีนที่อพยพเข้ามาในช่วงปี พ.ศ.2388-2428 ถือเป็นสมาคมชาวจีนที่ใหญ่และเก่าแก่ที่สุดของเมืองฮอยอัน โดยพื้นที่สมาคมใช้สำหรับเป็นที่พบปะของคนหลายรุ่นที่อพยพมาจากมณฑลฟุ กเกี๋ยนที่มีพื้นเพและแซ่เดียวกัน โดยใช้เป็นที่ระลึกถึงถิ่นกำเนิดและบูชาบรรพบุรุษในตระกูลของตน และภายในยังเป็นที่ตั้งของวัดที่สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้กับลัทธิของพระนาง เทียนเห่า ที่มีจุดเด่นอยู่ที่งานไม้แกะสลัก ลวดลายสวยงามน่าชม
    สมาคมฟุกเกี๋ยน (Phouc Kien Assembly Hall)

    บ้านโบราณอายุ 200 ปี

    บ้านเลขที่ 101 ซึ่งเป็นบ้านไม้ที่เก่าแก่ 2 ชั้น และสวยงามที่สุดของเมืองฮอยอัน สร้างขึ้นมาเมื่อ 75 ปีที่แล้ว และอยู่กันมา 5 รุ่นภายในแบ่งเป็นสัดส่วนสำหรับประโยชน์การใช้สอยที่แตกต่างกัน ตั้งแต่ห้องสมุด ห้องรับแขก และห้องครัว การเยี่ยมชมบ้านเก่าแก่ประจำตระกูลต่างๆ บนถนนเส้นนี้ถือเสน่ห์อย่างหนึ่งของการมาเยือนเมืองฮอยอันก็คือ บ้านเก่าแก่ที่ยังคงความงดงาม ซึ่งมีอยู่หลายหลัง
    บ้านโบราณอายุ 200 ปี

    3. เวียดนามใต้

    อดีตทำเนียบประธานาธิบดี

    ปัจจุบันเรียกกันว่าทองยัด และเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ด้วย เคยเป็น ทำเนียบของผู้ว่าการชาวฝรั่งเศสที่เรียกว่า ทำเนียบนโรดม อดีตประธานาธิบดี โงดินห์เดียมของเวียดนามใต้ได้พำนักอยู่ในทำเนียบแห่งนี้ ในปี พ.ศ. 2506 ทำเนียบนี้ถูกทิ้งระเบิดและได้มีการสร้างอาคารใหม่ ที่รู้จักกันในชื่อ ทำเนียบอิสรภาพ ขึ้นแทนที่โครงสร้างเก่าถูกทำลาย อาคารปัจจุบันออกแบบโดยโงเวียดทู สถาปนิกชาวเวียตนามผู้สำเร็จการศึกษาจากฝรั่งเศส และสร้างเสร็จสมบูรณ์ในปี พ.ศ. 2509 ก่อนจะสิ้นสุดลงในวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2518 เมื่อกองกำลังคอมมิวนิสต์ได้เคลื่อนขบวนรถถังเข้าชนประตูเหล็กด้านหน้าของ ทำเนียบและโค่นรัฐบาลเวียตนามใต้ลง
    อดีตทำเนียบประธานาธิบดี

    พิพิธภัณฑ์สงคราม

    เป็นพิพิธภัณฑ์ที่เก็บรวบรวมหลักฐานของความโหดร้ายของสงครามในเวียดนาม เป็นจุดสนใจของนักท่องเที่ยวที่ได้มาเยือนโฮจิมินห์ ซิตี้ พิพิธภัณฑ์ตั้งอยู่ที่ถนน Vo Van Tan หน้าพิพิธภัณฑ์มีอาวุธสงครามตั้งแต่แสดงอยู่หลายชิ้น เช่น เครื่องบินรบ ปืนใหญ่ และเครื่องกิโยตินที่ใช้ตัดคอนักโทษฝรั่งเศสที่นำมาใช้ในเวียดนามข้างในพิพิธภัณฑ์แสดงรูปถ่ายและประจักษ์พยายของความเหี้ยมโหดทารุณของสงครามที่ได้เกิดขึ้นในเวียดนาม
    พิพิธภัณฑ์สงคราม

    ไปรษณีย์กลางเวียดนาม

    ตั้งอยู่บริเวณใจกลางเมืองโฮจิมินห์ ใกล้กับโบสถ์นอร์ทเธอดาม มีการออกแบบก่อสร้างในสไตล์ฝรั่งเศส และได้รับการออกแบบตกแต่งอย่างงดงามด้วยกระจกสี เป็นไปรษณีย์ที่ใหญ่ที่สุดในเวียตนาม ก่อสร้างขึ้นเมื่อ ปี พ.ศ. 2439 เสร็จในปี พ.ศ. 2444
    ไปรษณีย์กลางเวียดนาม

    โบสถ์นอร์ทเทอดาม

    ตั้งอยู่บริเวณกลางเมือง บนถนน Han Thuyen ได้รับการก่อสร้างตั้งแต่ปี พ.ศ. 2420 ใช้ระยะเวลาการสร้าง 6 ปี ไม่มีการประดับด้วยกระจกสีเหมือนโบสถ์คริสต์อื่นๆ เพราะได้รับความเสียหายจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สำหรับโบสถ์แห่งนี้ ได้รับการยกย่องว่ามีความงดงามมากที่สุดแห่งหนึ่งในเวียตนาม โดยในแต่ละวันมีนักท่องเที่ยวมาเยือนมากมาย
    โบสถ์นอร์ทเทอดาม

    จตุรัสโฮจิมินห์

    ตั้งอยู่บริเวณใจกลางเมืองโฮจิมินห์ จุดเริ่มต้นของการเดินทางท่องเที่ยวในเมืองโฮจิมินห์ โดยจุดนี้จะมีรูปปั้นของอดีตประธานาธิบดีโฮจิมินห์ กับเด็กๆ ด้านหลังเป็นศาลาว่าการเมือง สวยงามในสไตล์ฝรั่งเศส
    จตุรัสโฮจิมินห์

    อุโมงค์กู๋จี

    เป็นสถานที่สำคัญแห่งหนึ่งของเวียดนามที่นักท่องเที่ยวทุกคนจะต้องมาเยือน อยู่ห่างจากโฮจิมินห์ ซิตี้ เพียง 70 กิโลเมตร เป็นสถานที่ทางประวัติศาสตร์ ในการสู้รบระหว่างทหารของเวียดกง กับ ทหารอเมริกัน และพันธมิตรโดยทหารเวียดกง ใช้ยุทธวิธีสู้รบด้วยการขุดอุโมงค์ใต้ดินเป็นที่ซ่อนตัวและ อุโมงค์นี้ขุดโดยชาวบ้านที่มีเพียงจอบเสียมเป็นเครื่องมือ ค่อย ๆ ขุดดินแล้วใส่ตะกร้าลำเลียงออกมาทิ้งข้างนอกทุกวัน สร้างเส้นทางใต้ดินเชื่อมติดต่อกันเป็นโครงข่ายกว้างขวาง ความยาวถึง 250 กิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่กว่าแสนไร่
    อุโมงค์กู๋จี

    พระราชวังฤดูร้อนของจักรพรรดิ์ เบ๋าได๋

    เป็นที่ประทับหลังเสร็จสิ้นภาระกิจในช่วงฤดูร้อน ปัจจุบันเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ให้นักท่องเที่ยวได้เข้าชม ซึ่งเฟอร์นิเจอร์ที่ได้ชมจะเป็นของดั้งเดิมทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเตียงนอน ชุดรับแขก ชุดพักผ่อน นั่งเล่น การเข้าชมจะมีพลาสติกใส่คลุมรองเท้า เพื่อป้องกันการสึกกร่อนของพื้นและรักษาความสะอาด
    พระราชวังฤดูร้อนของจักรพรรดิ์ เบ๋าได๋

    Whale Temple

    ตามเรื่องเล่าต่อกันมาว่า เป็นการสร้างวัดเพื่อเก็บกระดูกปลาวาฬ ที่ได้ช่วยเหลือและป้องกันชาวประมง ให้พ้นจากอันตรายทั้งหลายขณะออกหาปลา ภายในวัดจะมีตู้ใส่กระดูกปลาวาฬไว้เพื่อระลึกถึงความดี
    Whale Temple

    Christ Hill

    เป็นรูปอนุเสาวรีย์พระเยซู ยืนกางแขนตระหง่านบนเนินเขาด้านในตัวพระเยซูจะโล่งมีบันใดขึ้นสู่ด้านบนที่เดินทางสวนกันได้ สามารถขึ้นได้ถึงส่วนบ่า และยืนดูวิวชายหาดชายทะเลหวุงเต่าได้อย่างสวยงาม แต่การเดินทางขึ้นไปนั้นต้องอาศัยร่างกายที่แข็งแรงพอสมควร
    Christ Hill

    ดาลัด หุบเขาแห่งความรัก

    ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของทะเลสาบซวนฮวางราว 5 กิโลเมตรหุบเขาแห่งความรักหรือที่ชาวเวียดนามเรียกทุงหลุงติงห์เอียว มีลักษณะเป็นหุบเขาซึ่งมีทะเลสาบอยู่ตรงกลาง ล้อมรอบด้วยเนินเขาเตี้ยๆ ที่ปกคลุมด้วยไม้สน หากมีเวลาที่นี่จะมีรถจี๊บนำเที่ยวใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง
    ดาลัด หุบเขาแห่งความรัก

    วัดเส้าหลิน

    เป็นวัดจีน ที่ตั้อยู่บนยอดเนินเขา ตกแต่งด้วยไม้ดอก ไม้ยืนต้นอย่างสวยงาม บรรยาการร่มรื่น สวยงาม การเดินทางขึ้นเขาด้วยรถแล้วเดินทางขึ้นบันใดอีกนิดหน่อย เวลาเข้าไปกราบพระพุทธรูปจะมีพระคอยตีไม้ให้จังหวะเหมือนกับเวลาสวดมนต์ การลงจากเขาจะลงด้วยการนั่งกระเช้าทำให้เห็นเมืองดาลัดแบบ 360 องศาเลยทีเดียว
    วัดเส้าหลิน

    น้ำตกดาลันทา

    เป็นน้ำตกที่ใหลลงจากเนินไม่ใหญ่โตนัก ส่วนไฮไลท์อยู่ที่การเดินทางลงไปดูน้ำตกจากที่จอดรถ จะเป็นการลงโดยรถล้อเลื่อนขนาดจุ 2 คนผู้ที่นั่งอยู่ด้านหลังจะเป็นคนคอยเบรคไม่ให้ลงเร็วเกินไป และเป็นที่สนุกสนานอย่างมาก
    น้ำตกดาลันทา

    ทะเลทรายขาว

    ทะลทรายขาวหรือ White Sandune เนินทราย ที่ใหญ่ที่สุดของ มุยเน่  อยู่ห่างจากตัวหมู่บ้าน มุยเน่ 30 กม ทะเลทรายขาว (Doi Cat Trang) กองภูเขาทรายสีขาว ซึ่งใหญ่ที่สุดของมุยเน่ มี Sand Dune หรือ ภูเขาทรายสูงกว่า 40 เมตร ทำให้คนที่ขึ้นไปยืนบนยอดเนินทราย กลายเป็นมดไปเลยทีเดียว
    ทะเลทรายขาว

    ทะเลทรายแดง

    ทะเลทรายอีกแห่ง ของมุยเน่ แต่ทรายกลับเป็นสีแดง ยิ่งยามเช้าๆ ฟ้าใสๆ จะตัดกับทรายสีแดง ทำให้แป๊ด ขึ้นมาเลยทีเดียว ทะเลทรายแดง นั้นอยู่ไม่ห่างจากฝั่งทะเลมากนัก ที่นี่จะมีเด็กๆชาวเวียดนามพูดภาษาอังกฤษเก่งมาก คอยตามตื้อให้บริการกระดานเลื่อนสนนราคาค่าบริการต้องต่อรองกันเอง
    ทะเลทรายแดง

    แฟรี่สตรีม

    เป็นโตรกผาของลำธาร หากมองจากมุมสูงจะสวยมาก จะเป็นลำธารน้ำตื้นๆสามารถเดินลุยน้ำเย็นๆชมธรรมชาติที่แปลกตา ระยะทางที่เดินเล่นประมาณ 1.5 กิโลเมตร ใช้เวลาไม่เกิน ครึ่งชั่วโมง แฟรี่สตรีมนี้เกิดจากลำธารเล็กๆ ไหลผ่านภูมิประเทศกึ่งทะเลทราย เซาะเป็นร่องโตรกว้างกว่า 20 เมตร เปิดให้เห็นชั้นดิน และทรายหลากสี ดูแล้วแปลกตาดีไม่น้อยเลย
    แฟรี่สตรีม

    Crazy House

    โรงแรมที่พักรูปทรงประหลาดนี้ เกิดจากความคิดไม่ธรรมดาของ สถาปนิก ลูกสาวของประธานาธิปดีคนที่ 2 ของเวียดนาม เรียนจบสถาปัตยกรรมจากประเทศฝรั่งเศส ภายในโรงแรม แต่ละห้องพักจะออกแบบและตกแต่งต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็นภายในห้องหรือแม้แต่ประตูทางเข้า หากเช็คอินแล้วออกไปข้างนอกกลับมาอาจจะหาทางเข้าห้องไม่เจอก็ได้
    Crazy Houseภาษา ภาษาทางการคือ ภาษาเวียดนาม ภาษา ที่มีจำนวนคนพูดเป็นอันดับรองลงมา คือ ภาษาเขมร และที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารทางธุรกิจ คือ ภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส และ จีน ตัวอย่างของภาษา

    ซินจ่าว - สวัสดีกามเอิน - ขอบคุณซินโหลย - ขอโทษบั๊ค โก แคว คง - สบายดีหรือ
    กาม เอิง บิง เทือง - สบายดี ขอบคุณตามเบียด - ลาก่อนแฮน กับ ไล - พบกันใหม่ยา ฮาง อัน - ร้านอาหาร
    ยา เว ซิง เอ๋อ เดา - ห้องน้ำอยู่ใหนเนิ้ก ดา - น้ำแข็งเนิ้ก โซย น้ำปล่าเนิ้ก กำ ดา - น้ำแข็งเปล่า
    ฉ่า ด๋า - น้ำแข็งใส่น้ำชาเฝอ - ก๋วยเตี๋ยกา เฝ่า - กาแฟแจ่ - ชา
    เบีย - เบียร์เกิม - ข้าวสวยจ๋าว - ข้าวต้มแบ๋ง มี่ - ขนมปัง
    เอิ้ก - พริกหมง - ช้อนเนี้ย - ส้อมแหยม แย้ - ลดอีก
    อัน เอี่ยว แอม - พี่รักน้องอัน ทิด แอม - พี่ชอบน้องคง ก้อ เตี่ยน - ไม่มีตังค์บาว เยียว - ราคาเท่าไหร่
    บุ เดี๋ยน เอ๋อ ด๋าว - ไปรษณีย์อยู่ใหนแดป - สวยงามแดป หลำ - สวยมากแดป จ๋าย - หล่อมาก
    เตี่ยน - เงินติ้ง เตี่ยน - คิดเงินโตย - ผมโตย ด๊อย โหย่ย - ฉันหิวแล้ว
    กวั่น เบน จ๊าย - เลี้ยวซ้ายกวั่น เบน ฝาย - เลี้ยวขวาดี ถัง - ตรงไปตั๊ค - แพง
    ตั๊ด หลำ - แพงมากเหล๋ - ถูกโค้ง ทิด - ไม่ชอบหยา จอ โตย แหยๆ - ลดให้ผมมากหน่อย
    ถิด บ่อ - เนื้อวัวกา - ไก่ก๊า - ปลาโตม - กุ้ง
    กัว - ปูจิม - นกแฮว - หมู

วันอังคารที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2558

ไมเคิลแองเจโล ( Michelangelo )

 ไมเคิลแองเจโล เป็นจิตรกรสถาปนิก และประติมากรชื่อดังชาวอิตาลี  เกิดเมื่อ วันที่ 6 มีนาคม
 
ค.ศ. 1475 เป็นบุคคลสำคัญด้านงานศิลปะในยุค  ยุคเรเนอซองส์ ซึ่งเป็นยุคเดียวกับ บุคคลสำคัญ
 
 งานเขียนของเขาเป็นที่ยอมรับว่าสุดยอดหรืองานประติมากรรมอื่นๆของ ไมเคิลแองเจโล ก็จัดอยู่
 
ในงานศิลปะชิ้นเอกมากมายอย่างเช่น รูปแกะสลักเดวิด ที่เมืองฟลอเรนซ์ ทำมาจากหินอ่อนรูปปั้นนี้
 
ทำให้เขามีชื่อเสียงเป็นอย่างมาก เขามีชื่อเสียงและสำคัญขนาดถูกเชิญให้กลับมาที่กรุงโรม เพื่อ
 
ออกแบบหลุมฝังศพให้กับสมเด็จพระสันตะปาปาจูเลียสที่ 2 เขาเป็นสถาปนิกคนสำคัญในการสร้าง
 
มหาวิหารนักบุญเปโตรที่กรุงโรม 
 

ซึ่งเป็นมหาวิหารนักบุญเปโตร เป็นสถาปัตยกรรมชิ้นเอกของโลก เป็นมหาวิหารเอกหนึ่งในสี่แห่ง
 
ในกรุงโรม นครรัฐวาติกันเป็นสิ่งก่อสร้างที่ใหญ่และสำคัญที่สุดในนครรัฐวาติกันสร้างทับวิหารเดิม
 
ที่ชื่อเดียวกัน โดมของมหาวิหารสูงโดดเด่นสามารถเห็นได้แต่ไกลในตัวเมืองโรม โบสถ์นี้ตั้งอยู่ใน
 
เนื้อที่ประมาณ 2.3 เฮกตาร์ สามารถจุคนได้กว่า 60,000 คนเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดที่หนึ่งใน
 
คริสตจักรโรมันคาทอลิก 
 

นอกจาก รูปสลักดาวิด กับเรื่อง มหาวิหารแล้วก็ยังมีผลงานอย่าง

The Last Judgement  เป็นจิตรกรรมฝาผนังชาเปลซิสติน, นครรัฐวาติกัน

The Creation of Adam พระเจ้าสร้างอาดัม

Doni Tondo หรือ Doni Madonna

เป็นต้น  (เอาชื่อไปเสิร์ชหาในกูเกิ้ลกันดูนะครับ สวยๆทั้งนั้น)

ไมเคิลแองเจโล เกิดวันที่ 6 มีนาคม ค.ศ. 1475 Caprese near Arezzo, Republic of Florence
 
(ปัจจุบันคือ Tuscany ใน Italy)

วันเสียชีวิต 18 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1564 (88 ปี) Rome, รัฐสันตะปาปา (ใน Italy)

ศิลปินที่เข้าถึง 3 ศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ของโลก เขาไม่เป็นเพียงผู้ที่เข้าถึงแต่เพียงศาสตร์ด้านวิจิตรศิลป์
 
แต่เขายังเข้าถึงความยิ่งใหญ่ของสถาปัตยกรรม และประติมากรรมบุคคลาการด้านงานศิลป์ที่ยิ่งใหญ่
 
คนนึงของโลก

vive le vent !


La traditionnelle dinde de Noël !

La traditionnelle dinde de Noël ! Vous pouvez la cuire au four à 180° pendant environ 30 minutes. Vous pouvez choisir de la farcir de marrons ou de champignon. Pensez à arroser la viande afin que la peau soit bien dorée et croquante !

เลโอนาร์โด ดา วินซี : Leonardo da Vinci

เกิด        วันที่ 15 เมษายน ค.ศ. 1452 ที่แคว้นทัสคานี (Tuscany) เมืองวินชี (Vinci) ประเทศอิตาลี (Italy)
เสียชีวิต วันที่ 2 พฤษภาคม ค.ศ. 1519 ที่เมืองอัมบัวส์ (Amboise) ประเทศฝรั่งเศส (France)
ผลงาน   - ศึกษาเกี่ยวกับโครงสร้างของมนุษย์
             - สร้างประตูน้ำแบบบากมุม 45 องศา (Mitre Lock Gate)
             - ออกแบบเครื่องมือหลายชนิด เช่น เฮลิคอปเตอร์ เรืองท้องแบน เรือดำน้ำ เครื่องแต่งกายมนุษย์กบและปืนกล เป็นต้น
             - ประดิษฐ์เครื่องดนตรี 21 ชนิด ได้แก่ พิณ และ วิโอล่า
             - ประดิษฐ์ไฮโกรมิเตอร์

         เลโอนาร์โดไม่ได้เป็นเพียงจิตรกรเอกของโลกเท่านั้น เขายังมีความสามารถทางด้านวิทยาศาสตร์หลายแขนง ได้แก่
ดาราศาสตร์คณิตศาสตร์ และชีววิทยา และการออกแบบประดิษฐกรรมใหม่หลายอย่าง
ผลงานทางด้านวิทยาศาสตร์ของเขาส่วนใหญ่
มักเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่แปลกใหม่ และเป็นพื้นฐานของสิ่งประดิษฐ์ในปัจจุบันนี้ด้วย เช่น เฮลิคอปเตอร์ เรือดำน้ำ เป็นต้น ผลงานที่สำคัญ
ที่สุดของเขาน่าจะเป็นการบุกเบิกเรื่องการบินเป็นคนแรก ถึงแม้ว่าเขาจะไม่สามารถขึ้นบินได้สำเร็จก็ตาม แต่ก็มีส่วนพัฒนางานด้านนี้
ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ในยุคเดียวกันกับเขาไม่มีผู้ใดเลยที่ให้ความสนใจ

         เลโอนาร์โด เกิดเมื่อวันที่ 15 เมษายน ค.ศ. 1452 ที่แคว้นทัสคานี เมืองวินชี ประเทศอิตาลี บิดาของเขาเป็นนักกฎหมายชื่อว่า
เปียโร เลโอนาร์โด (Piero Leonardo) เลโอนาร์โดมีความสนใจเรื่องวาดภาพมาตั้งแต่เด็ก เขามักวาดภาพเหมือนสัตว์ต่าง ๆ ที่
เขาได้เก็บสะสมไว้ เช่น จิ้งจก ตุ๊กแก งู หนอน ค้างคาว มอด และตั๊กแตน เป็นต้น เขามีพรสวรรค์ในการวาดภาพ และฉายแววให้เห็น
มาตั้งแต่เด็ก ต่อมาในปี ค.ศ. 1466 ครอบครัวของเขาต้องย้ายไปอยู่ที่เมืองฟลอเรนซ์ (Florence) เมื่อเลโอนาร์โดอายุได้ 18 ปี
บิดาของเขาได้ส่งเขาไปทำงานในห้องปฏิบัติงานศิลปะของศิลปินผู้มีชื่อเสียง อันเดรีย เวอร์รอกคิโอ ซึ่งทำให้เลโอนาร์โดมีความ
ชำนาญในเรื่องการวาดรูป อีกทั้งความสามารถในเรื่องการหล่อสำริดเพิ่มขึ้นอีกด้วย เลโอนาร์โดได้ฝึกฝนศิลปะอยู่ที่นี่เป็นเวลา 6 ปี
และในปี ค.ศ. 1472 เขาได้เข้าเป็นสมาชิกของสโมสรช่างแห่งเซนต์ลุก ซึ่งเป็นสมาคมของพวกจิตรกร นอกจากงานศิลปะแล้ว
เลโอนาร์โดยังให้ความสนใจในเรื่องคณิตศาสตร์และภูมิศาสตร์อีกด้วย

         ด้วยความสามารถทางด้านศิลปะของเลโอนาร์โด ทำให้เขาวาดภาพเหมือนของโครงสร้างต่าง ๆ ของมนุษย์ สัตว์ และพืช
ได้อย่างเหมือนจริง ซึ่งเป็นประโยชน์ในการศึกษามาก เลโอนาร์โดได้ศึกษาโครงสร้างของมนุษย์จากศพมากกว่า 30 ศพ เขาได้ผ่า
ศพเหล่านี้เพื่อศึกษาระบบการทำงานของร่างกาย กล้ามเนื้อ รวมถึงการไหลเวียนของโลหิตด้วย จากการศึกษาอย่างละเอียด เขา
สามารถอธิบายถึงวิธีการทำงานของกล้ามเนื้อ ทำให้เขาเข้าใจถึงโครงสร้างต่าง ๆ ของมนุษย์ได้อย่างละเอียด อีกทั้งเขาได้วาดภาพ
ส่วนต่าง ๆ ของร่างกายไว้อย่างละเอียด งานของเลโอนาร์โดชิ้นนี้ถือได้ว่าเป็นรากฐานของวิชากายวิภาคศาสตร์ และสรีรวิทยาเลย
ก็ว่าได้ ในส่วนของเรื่องพืช เขาได้ทำการทดลองปลูกพืชน้ำและพบว่าวงแหวนที่เป็นชั้น ๆ ในลำต้นพืช เป็นตัวบ่งบอกถึงอายุของ
พืช หรือที่เรียกว่า วงปี

         ในปี ค.ศ. 1482 เลโอนาร์โดได้เขียนจดหมายฉบับหนึ่งถึงลูโดวิโก อิล โมโร (Ludovico il Moro) ดยุคแห่งมิลาน
(Duke of Milan) โดยความช่วยเหลือของลอเรนโซ เดอ เมดิซี เลโอนาร์โด ภายในจดหมายฉบับนี้มีรายละเอียดเกี่ยวกับความ
สามารถ และอาวุธสงครามที่เขาออกแบบขึ้น ได้แก่
        1. ร่มชูชีพ โดยใช้ผ้าผืนสี่เหลี่ยมจัตุรัส ขนาด 13 หลา ใช้เชือกผูกมุมทั้ง 4 ไว้ ส่วนทางปลายเชือกอีกข้างหนึ่งใช้จับเวลา
             กระโดดลงมาจากที่สูง
        2. เครื่องร่อน เลโอนาร์โด สังเกตจากลักษณะของนก แล้วนำมาปรับปรุงเป็นเครื่องร่อน
        3. เฮลิคอปเตอร์ โดยใช้ใบพัดขนาดใหญ่หมุนด้วยความเร็วสูง ซึ่งเขาไม่ได้สร้างเพียงแต่ออกแบบไว้เท่านั้น
        4. เรือกล ซึ่งใช้ล้อหมุนพาย แทนคนพาย ซึ่งมีความเร็วถึง 50 ไมล์ต่อชั่วโมง
        5. หน้าไม้ยักษ์ อยู่บนรถเข็น 6 ล้อ
        6. ปืนกล มีลำกล้องเรียงเป็น 3 แถว ๆ ละ 11 กระบอก รวมทั้งหมด 33 กระบอก โดยใช้ยิงทีละแถว เมื่อแถวแรกหมดก็
            นำแถวที่ 2 และ 3 ออกมาใช้  การที่ต้องทำเช่นนี้เพราะปืนในสมัยนั้นบรรจุลูกได้เพียงกระบอกละ 1 นัด เท่านั้น
        7. เรือขุด ใช้หลักการเหมือนกับระหัดเกลียวของอาร์คิมีดีส
        8. รถถัง มีลักษณะเป็นรถหุ้มด้วยทรงกรวยคว่ำ ด้านล่างติดปืนไว้โดยรอบ
        9. เฮลิคอปเตอร์ ซึ่งเป็นต้นแบบของเฮลิคอปเตอร์ในปัจจุบัน แต่ในสมัยนั้นยังไม่มีเครื่องยนต์ ดังนั้นเลโอนาร์โดจึงออกแบบ
            ให้ใช้แรงคนในการหมุนใบพัดขนาดใหญ่
      10. ปั้นจั่น เป็นเครื่องผ่อนแรงใช้สำหรับยกของหนัก
      11. เรือดำน้ำ เขาได้ศึกษาเรื่องนี้มาจากปลา
      12. รถถัง มีลักษณะคล้ายกับหัวลูกปืน และรอบ ๆ รถมีปืนกลซ่อนอยู่โดยรอบด้วย
         อาวุธที่เลโอนาร์โดออกแบบถือว่าเป็นอาวุธที่มีความทันสมัยมาก อีกทั้งเป็นต้นแบบของอาวุธในปัจจุบันด้วย เช่น เฮลิคอปเตอร์
และรถถัง เป็นต้น แม้ว่าอาวุธบางชิ้นที่เลโอนาร์โดออกแบบจะไม่ได้สร้างขึ้นในสมัยนั้น แต่ก็ถือได้ว่าผลงานด้านวิทยาศาสตร์ ของเขา
เป็นงานที่สร้างสรรค์อย่างมาก

         นอกจากนี้ยังมีแผนการในการทำสงครามอีกด้วย เมื่อดยุคแห่งมิลานได้อ่านจดหมายฉบับนี้จึงเชิญเลโอนาร์โดมายังเมืองมิลาน
โดยจัดการต้อนรับเป็นอย่างดี แต่มิใช่ในฐานะของจิตรกรหรือนักวิทยาศาสตร์ กลับเป็นเพียงนักดนตรี และผู้จัดงานนันทนาการ
ทั้งหลาย ซึ่งเขาได้ริเริ่มการแสดงละครสวมหน้ากาก และละครโรงขึ้น และเลโอนาร์โดต้องการให้ท่านดยุคยอมรับเขาในฐานะอื่น
มากกว่า ซึ่งเขาได้ใช้ความพยายามและความสามารถที่มีอยู่เสนอผลงานต่าง ๆ อยู่เสมอ ต่อมาเมืองมิลานได้เกิดโรคระบาดขึ้น
และมีผู้เสียชีวิตจำนวนมากถึง 1 ใน 3 ของประชาชนในเมือง ดังนั้นเลโอนาร์โดจึงได้เสนอให้ท่านดยุคปรับปรุงระบบผังเมืองใหม่
เพื่อป้องกันโรคระบาดแพร่กระจาย เขาได้กระจายบ้านเรือนของประชาชนออกไป ขุดคลองเชื่อมต่อกันเพื่อประโยชน์ในการสุขาภิบาล
อีกทั้งยังออกแบบถนน 2 ชั้น ซึ่งท่านดยุคเห็นชอบในข้อเสนอนี้ และสั่งให้เลโอนาร์โดเป็นผู้รับผิดชอบในการออกแบบผังเมืองใหม่
นี้ด้วย

          ต่อมาท่านดยุคมีโครงการจะสร้างอนุสาวรีย์ของบรรพบุรุษของท่าน คือ ดยุคฟรานเชสโก สฟอร์ซา (Francesco Sforza)
ในลักษณะขี่ม้าขนาดสูงถึง 29 ฟุต และต้องใช้ทองสำริดหนักถึง 90 ตัน ท่านดยุคได้มอบงานนี้ให้เลโอนาร์โดเป็นผู้รับผิดชอบ แต่
เนื่องจากในปี ค.ศ. 1499 อิตาลีได้ทำสงครามกับฝรั่งเศส และทองสำริดที่จะใช้ในการหล่ออนุสาวรีย์ต้องนำไปใช้หล่อปืนใหญ่แทน
ดังนั้นเลโอนาร์โดจึงนำรูปปั้นดินเหนียวของท่านดยุคฟรานเชสโก ไปประดิษฐานไว้บริเวณหน้าประตูพระราชวังแทน แต่เมื่อทหาร
ฝรั่งเศสได้ยกกองทัพเข้ามาภายในเมืองมิลานได้ทำลายอนุสาวรีย์นี้จนหมดสิ้น

          หลังจากเมืองมิลานได้ถูกฝรั่งเศสยึดครองไว้ เลโอนาร์โดได้เดินทางหลบหนีไปอยู่ที่เมืองเวนิช (Vanice) และเข้าทำงาน
ในโครงการป้องกันภัยทางทะเลให้กับชาวเมืองเวนิช ซึ่งในขณะนั้นกำลังถูกโจมตีจากพวกเติร์ก หรือชาวตุรกี และในการทำงาน
ครั้งนี้เขาได้ออกแบบชุดมนุษย์กบโดยมีเครื่องครอบศีรษะ และรองเท้าที่ช่วยในการว่ายน้ำให้เร็วขึ้น หรือที่เรียกว่า ตีนกบ ซึ่งใช้
กันมาจนทุกวันนี้

          นอกจากนี้เขายังทำการค้นคว้าและทดลองเกี่ยวกับการบิน โดยเลโอนาร์โดได้ศึกษาเรื่องนี้จากนกและได้สร้างปีกนกขนาดใหญ่
ขึ้น โดยเลียนแบบจากปีกที่ทำหน้าที่ในการบินของนก โครงของปีกทำด้วยไม้และบุด้วยผ้าบาง ๆ และขนสัตว์ เมื่อสร้างสำเร็จเขาได้นำ
ไปทดลองขึ้นบินแต่ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะเมื่อขึ้นบินโดยลูกศิษย์ของเขา โซโรอาสเต เดอ เปเรโตโล ปรากฏว่าไม่สามารถบินได้
และตกลง ทำให้เปเรโตโลได้รับบาดเจ็บขาหัก เลโอนาร์โดอยู่ที่เมืองเวนิชได้ไม่นานก็เดินทางไปเมืองฟลอเรนซ์ ในระหว่างนี้เขาได้รับ
ความลำบากในเรื่องเงินทองอย่างมาก ซึ่งทำให้เขาต้องรับจ้างวาดภาพเพื่อหาเงินเลี้ยงชีพไปวันหนึ่ง ๆ เท่านั้น

          เขาได้สร้างผลงานทางด้านศิลปะอันทรงคุณค่าของเขาทั้ง 2 ชิ้น ได้แก่ ภาพอาหารมื้อสุดท้าย (The Last Supper)
ในระหว่างปี ค.ศ. 1495 - 1497 บนฝาผนังยาว 30 ฟุต สูง 14 ฟุต ของโบสถ์ซานตา มาเรีย เดลลา เกรซี (Santa Maria Della
Grazie) ด้วยสีฝุ่นผสมน้ำมันลงไปขณะที่ปูนยังเปียกอยู่ ซึ่งเขาเพิ่งทดลองเขียนเป็นครั้งแรก ภาพนี้เป็นภาพเกี่ยวกับพระเยซูพร้อม
กับสาวก 12 คน ขณะรับประทานอาหารมื้อสุดท้ายอยู่ ต่อมากษัตริย์ ์ฝรั่งเศสได้ทรงทอดพระเนตรภาพนี้และรู้สึกประทับใจมาก
และมีคำสั่งให้นำภาพนี้กลับฝรั่งเศสด้วย ปัจจุบันภาพนี้แสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ (Louvre) กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส อีกภาพ
หนึ่งเขาวาดในปี ค.ศ. 1500 ชื่อว่า โมนา ลิซ่า (Mona Lisa) หรือลาโจคอนดา ซึ่งเป็นชื่อของหญิงสาวคนหนึ่งที่เป็นแบบในการ
วาดรูป ภาพนี้เป็นภาพเขียนสีน้ำมัน เป็นภาพของผู้หญิงคนหนึ่งที่มีรอยยิ้มอันน่าประทับใจ

           นอกจากงานทั้งหมดที่ได้กล่าวไปแล้ว เลโอนาร์โดได้สร้างผลงานทางวิทยาศาสตร์ขึ้นอีกหลายชิ้น ได้แก่ ผลงานทางด้าน
ดาราศาสตร์ เขาถือได้ว่าเป็นนักดาราศาสตร์คนหนึ่งที่เชื่อถือในทฤษฎีดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของจักรวาลซึ่งคนในยุคนั้น ยังเชื่อถือในทฤษฎีของอาริสโตเติลที่ว่าโลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาล

          เลโอนาร์โดได้ประดิษฐ์เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ขึ้นมาชิ้นหนึ่ง เรียกว่า ไฮโกรมิเตอร์ (Hygrometer) ใช้สำหรับวัด
ความชื้นในอากาศ และตาชั่งอีกทั้งยังเป็นผู้ค้นพบ พลังงานไอน้ำ เขาได้ทำการทดลองโดยการนำภาชนะใส่น้ำแล้วผิดสนิทและ
นำไปต้ม ผลปรากฏว่าภาชนะนั้นระเบิดออกมาด้วยแรงดันของไอน้ำ

           ในปี ค.ศ. 1506 เลโอนาร์โดได้รับเชิญจากพระราชสำนักพระเจ้าหลุยส์ที่ 12 (King Louis XII) แห่งฝรั่งเศส ให้ดำรง
ตำแหน่งวิศวกร และจิตรกรประจำราชสำนัก ในช่วงบั้นปลายชีวิตของเลโอนาร์โดได้พำนักในคฤหาสน์แห่งหนึ่งในเมืองอัมบัวส์
ของกษัตริย์ฝรั่งเศสองค์ใหม่ พระเจ้าฟรังซัวส์ที่ 1 (King France I) ในปี ค.ศ. 1518 เขาได้ล้มป่วยด้วยโรคอัมพาตที่แขนขวา
และเสียชีวิตในวันที่ 2 พฤษภาคม ค.ศ. 1519 ที่เมืองอัมบัวส์ ประเทศฝรั่งเศส

Pierre Auguste Renoir

ปีแยร์-ออกุสต์ เรอนัวร์ (Pierre-Auguste Renoir)  
(25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2383 - 3 ธันวาคม พ.ศ.2462)  
ปีแยร์-ออกุสต์ เรอนัวร์ เกิดวันที่ 25 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1841ที่เมืองไลโมจ (Limoges) ประเทศฝรั่งเศส  ครอบครัวย้ายมาที่ปารีสตั้งแต่เขายังเล็ก
เรอนัวส์ฉายแววรักศิลปะตั้งแต่เด็กและเขามีโอกาสได้เข้าไปฝึกงานที่โรงงานทำตุ๊กตาดินเผาเคลือบสี หลังจากโรงงานเลิกกิจการเขาได้ช่วยพี่ชายวาดภาพตกแต่งพัด  ในวัยเด็กเรอนัวร์มักจะเข้าไปชมงานศิลปะที่พิพิธภัณฑ์ลูฟร์อยู่เสมอ เขาชื่นชอบผลงานของศิลปินฝรั่งเศสในอดีตหลายคน เช่น วาโต บูแชร์ และฟราโกนาร์ด
ระหว่างปี 1870 ระหว่างเกิดการเคลื่อนไหวอันสำคัญของศิลปินหัวก้าวหน้าที่ต้องการบันทึกเรื่องราวในสังคมที่เกิดในปัจจุบันและใช้สีสันที่สดใสกว่าภาพของศิลปินในอดีต โดยการนำของศิลปินรุ่นพี่ที่สำคัญอันได้แก่ มาเนและกูรเบท์ 
ในปี 1862 เรอนัวร์ตัดสินใจเข้ามาศึกษาศิลปะอย่างจริงจังที่สถาบันศิลปะ ดิเอธิเลียเกลอร์ (TheAtelier Gleyre) เขาได้รู้จักกับเพื่อนร่วมสถาบันได้แก่ โมเน ซิสลี และบาซิลี ภายหลังได้รวมตัวกันลาออกจากสถาบันศิลปะ เพื่อศึกษาแนวทางศิลปะตามความเชื่อของตัวเอง  
ผลงานของเรอนัวร์ระยะแรกได้รับิอิทธิพลจากศิลปินรุ่นพี่คือกูรเบท์และมาเน เรอนัวร์รับเทคนิคการวาดภาพด้วยใบมีดจากกูรเบท์  ภายหลังเขาได้พัฒนาผลงานเป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง ในปี 1860
เรอนัวร์ ไม่ใช่คนฐานะดี เขาไม่มีแม้กระทั่งเงินที่จะซื้อสีสำหรับวาดภาพ ระหว่างปี 1866 -1867 ผลงานของเขาถูกปฏิเสธจากกรรมการซาลอง แต่เขาก็ไม่เคยละความพยายาม เขาพัฒนาเทคนิคการวาดภาพโดยการศึกษาจากศิลปินรุ่นพี่อีกหลายคน เช่น เดอลากรัว และกามีร์โกโร โดยเฉพาะเทคนิคของเดอลากรัวเห็นชัดเจนจากภาพของเขาชื่อ โอดาลิสก์ (Odalisque, 1870)
ในปี 1869 เรอนัวร์ออกไปวาดภาพนอกสถานที่เคียงคู่กับโมเนที่สถานตากอากาศริมแม่น้ำเซน ผลงานยุคนี้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและเป็นที่ประทับใจนักวิจารณ์ศิลปะชื่อ โฟเบ พูล (Phoebe Pool) โฟเบได้เขียนบันทึกไว้ว่า "เรอนัวร์และโมเนได้ค้นพบว่าในเงามืดไม่ได้เป็นสีน้ำตาลหรือสีดำอย่างที่ศิลปินในอดีตเคยวาด แต่เป็นสีที่เกิดจากสีแวดล้อม แต่สีในตัววัตถุย่อมเปลี่ยนแปลงตามแสงที่เรามองเห็น ซึ่งเกิดจากการสะท้อนจากสีในวัตถุอื่น ๆ หรือเกิดจากการตัดกันของสีข้างเคียง"
The Swing and The Ball at The Moulin De Galette
ภาพวาดที่มีราคาแพงเป็นอันดับ 2 ของโลก 
มูลค่าประมาณ $110,420,000  
ผลงานของ Pierre Auguste Renoir
ปี 1874 เรอนัวร์ได้ร่วมแสดงนิทรรศการผลงานศิลปะแนวอิมเพรสชั่นนิสม์ร่วมกับเพื่อนศิลปินคนอื่น ๆ  และตั้งแต่ปี 1870 เป็นต้นมา ผลงานของเรอนัวร์ก็ได้รับความสนใจจากนักสะสมหลายคน เขาเริ่มขายผลงานได้และยังรับวาดภาพครอบครัวของนักสะสมเหล่านี้หลายภาพ เช่น ภาพของครอบครัวชาร์เพนเทียร์ (The Charpentiers)   ระหว่างนี้เรอนัวร์ได้สร้างผลงานที่บันทึกชีวิตผู้คนในอิริยาบทที่กำลังพักผ่อน หรือกำลังรื่นเริงตามสถานบันเทิง ภาพที่โด่งดังและรู้จักกันมากที่สุดคือภาพชื่อ งานบอลล์ที่มูแลงเดอกาเล (The Swing and The Ball at The Moulin de Gallette) เรอนัวร์ได้แสดงภาพความงดงามของผู้คนในงานรื่นเริงเหล่านี้โดยเฉพาะภาพผู้หญิงสวยที่อวดเนื้อหนังที่ขาวอวบสมบูรณ์งดงาม
ตั้งแต่ปี 1880 เป็นต้นมา เรอนัวร์พยายาพัฒนาสไตล์การวาดภาพของตัวเองให้แปลกไปกว่าการวาดภาพแบบอิมเพรสชั่นนิสม์แบบเดิมๆ ภาพระยะหลังส่วนใหญ่เป็นภาพผู้หญิงที่เน้นรูปทรงและเส้นรอบนอกที่ชัดเจนซึ่งเขาได้รับอิทธิพลจากศิลปะแนวคลาสิกโดยเฉพาะผลงานของราฟาเอลซึ่งเรอนัวร์เกิดความชื่นชมภาพวาดเหล่านั้นภายหลังที่ได้เดินทางไปชมงานที่อิตาลี ผลงานในยุคสุดท้ายภายหลังปี1880 เป็นต้นมา ผลงานส่วนใหญ่เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับความงามของสตรีเพศในอิริยาบทต่าง ๆ เช่น ภาพผู้หญิงเปลือย ภาพผู้หญิงอาบน้ำ ผู้หญิงอ่านหนังสือ ผลงานในยุคนี้ทำให้เรอนัวร์ประสบผลสำเร็จอย่างสูงทั้งทางด้านชื่อเสียงและทางการเงิน
ผลงานภาพวาดของเรอนัวร์ หลังปี 1903 มีลักษณะภาพวาดฝีแปรงหยาบ รูปทรงของผู้หญิงมีทรวดทรงอวบอ้วนเกินพอดี สาเหตุมาจากเขาป่วยด้วยโรคไขข้ออักเสบจนมือไม่สามารถจับพู่กันได้ เขาจึงต้องใช้เศษผ้ามามัดพู่กันกับมือไว้ขณะวาดภาพ
เรอนัวร์เสียชีวิตวันที่ 3 ตุลาคม 1919 ที่เมืองคาเยสเซอร์เมอร์ เรอนัวร์เป็นศิลปินที่มีความมุ่งมั่นและความพยายามต่อสู้เพื่อสร้างสรรค์งานศิลปะ อีกทั้งเป็นคนที่ไม่ยอมพ่ายแพ้ต่อความยากจนและความเจ็บป่วย เขาเป็นศิลปินที่ประสบความสำเร็จและเป็นคนที่น่ายกย่องอีกคนหนึ่งของโลก
ภาพวาด มาดามยอร์จ ชาร์เพนเทีย 
Madame Georges Charpentier
รัฐบาลฝรั่งเศสซื้อผลงานของเขาที่ชื่อ มาดามยอร์จ ชาร์เพนเทีย มาจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ลูฟร์ตั้งแต่เขายังมีชีวิตอยู่