นกกีวี (Kiwi) เป็นนกชนิดหนึ่งที่บินไม่ได้ ออกหากินเวลากลางคืน ตัวผู้ทำหน้าที่ฟักไข่ มีถิ่นฐานตามธรรมชาติอยู่ในประเทศนิวซีแลนด์เท่านั้น ขนาดของนกกีวีจะอยู่ประมาณขนาดของไก่บ้าน 1 ตัวนกกีวีเป็นนกที่ออกไข่ได้ฟองใหญ่กว่าขนาดตัวของตัวเอง ในประเทศนิวซีแลนด์ มีนกกีวีอยู่ 5 สายพันธุ์ ได้ถูกจัดให้เป็นสัตว์ที่ใกล้สูญพันธุ์ นกกีวีเป็นสัตว์กลางคืน ขี้อาย และชอบอยู่อย่างสันโดษ การใช้ชีวิตแบบสัตว์กลางคืนนี้ จริงๆแล้วไม่ได้เป็นธรรมชาติของนกกีวี นักวิทยาศาสตร์ได้สันนิษฐานว่าเกิดจากการที่เป็นสัตว์ที่ถูกล่าเยอะ จึงต้องระวังตัวเป็นพิเศษ แต่ถ้าในเขตที่ไม่มีผู้ล่า นกกีวีจะออกมาใช้ชีวิตเหมือนกับสัตว์กลางวันชนิดอื่นปกติทั่วไป นกกีวีชอบอาศัยอยู่ในที่แห้ง โดยเฉพาะในป่า แต่มันสามารถปรับตัวให้เข้ากับหลายๆสถานที่ได้อย่างง่ายดาย นกกีวีมีประสาทในการดมกลิ่นได้ดีเยี่ยม เช่นเดียวกับนกตัวอื่นๆ แต่เป็นนกชนิดเดียวเท่านั้นที่มีรูจมูกอยู่ตรงปลายของปากแหลมๆ นกกีวีปกติจะกินแมลงตัวเล็กๆ หนอน และเมล็ดพืช แต่บางสายพันธุ์จะกินผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ ปลาไหล หรือแม้แต่สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ เพราะว่ารูจมูกอยู่ที่ปลายปากแหลมๆ ทำให้มันสามารถกินแมลงหรือหนอนใต้ดินได้ โดยที่ไม่ต้องมองเห็น เพียงแค่จิกลงไปเฉยๆ นกกีวีมีความสำคัญมากต่อชนเผ่ามาวรี คนมาวรีมีความเชื่อว่านกกีวีเป็นสัตว์เลี้ยงของเทพเจ้าในป่า ขนของนกกีวีจึงถูกนำมาทำเป็นผ้าคลุมที่ใช้ในพิธีกรรมต่างๆของชาวมาวรี ในปัจจุบัน คนมาวรีเลิกล่านกกีวีแล้ว แต่จะใช้เฉพาะขนจากนกกีวีที่ตายแล้วเท่านั้น คนมาวรีมองว่านกกีวีเป็นเหมือนผู้พิทักษ์ นกกีวีถูกนำมาใช้เป็นเครื่องหมายในการสู้รบครั้งแรกในศตวรรษที่ 19 หลังจากนั้นไม่นาน ก้เริ่มมีการใช้นกกีวีเป็นสัญลักษณ์ต่อ ๆ มาเรื่อยๆ จนกระทั่งในปี 1906 ยี่ห้อยาขัดรองเท้ากีวี ได้นำนกกีวีมาเป็นสัญลักษณ์ แล้วมีการนำไปขายในยุโรป และ อเมริกา ซึ่งทำให้นกกีวีเป็นที่รู้จักมากขึ้น ทำให้คนต่างชาติเรียกคนนิวซีแลนด์ว่า กีวี ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 ทหารนิวซีแลนด์ได้แทนตัวเองว่า กีวี แล้วหลังจากกลับมาจากสงคราม ก้ได้แกะสลักนกกีวีตัวใหญ่ๆไว้บนเทือกเขาในประเทศอังกฤษ ทำให้ทุกคนยิ่งเรียกคนนิวซีแลนด์ว่า กีวี มากขึ้นอีก ต่อมานกกีวีได้ถูกใช้ต่อมาอีกหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น เหรียญ ตรา เกาะต่างๆ
จิงโจ้ (Kangaroo)
จัดอยู่ในไฟลัมสัตว์มีแกนสันหลัง ชั้นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในวงศ์ที่มีกระเป๋าหน้าท้อง (macropod) (สัตว์อื่นๆ ได้แก่ วอลลาบี จิงโจ้ต้นไม้ วอลลารู เป็นต้น ทั้งหมด 63 ชนิดด้วยกัน) เป็นสัตว์ประจำท้องถิ่นออสเตรเลีย
ดิงโก ( Dingo)
สุนัขป่าชนิดหนึ่ง พบได้เฉพาะที่ออสเตรเลียเท่านั้น มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Canis lupus dingo ดิงโกเป็นสุนัขป่าเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่มีรูปร่างหน้าตาคล้ายสุนัขบ้านมากที่สุด จึงสันนิษฐานว่าบรรพบุรุษของดิงโก สืบเชื้อสายมาจากสุนัขบ้านจากเอเชียอาคเนย์ (รวมถึงประเทศไทยด้วย) โดยเข้ามาอยู่ในออสเตรเลียเมื่อราว 3,000-4,000 ปีก่อน ดิงโกจัดเป็นสัตว์เพียงชนิดเดียวเท่านั้นในวงศ์สุนัข (Canidae) ที่พบในออสเตรเลีย ดิงโกเป็นสุนัขป่าขนสั้น หางเป็นพวง สีขนมีหลากหลายมาก ส่วนใหญ่จะเป็นสีน้ำตาลอมเหลือง ในบางตัวอาจมีสีเทาหรือแดง แม้กระทั่งขาวล้วนหรือดำล้วนก็มี มีอุปนิสัยอยู่รวมกันเป็นฝูงใหญ่ มีนิสัยดุร้ายและปราดเปรียวมาก แม้พื้นที่ ๆ อาศัยอยู่จะเป็นทะเลทรายหรือที่ราบกว้างใหญ่ แต่ดิงโกก็สามารถป่ายปีนก้อนหินหรือหน้าผาได้อย่างคล่องแคล่ว ดิงโกจัดเป็นสัตว์อันตรายชนิดหนึ่งในออสเตรเลีย โดยจะโจมตีใส่สัตว์เลี้ยงของมนุษย์เช่น แกะ หรือ ม้า ได้ แม้กระทั่งโจมตีใส่มนุษย์และทำร้ายจนถึงแก่ความตายได้ด้วย ดิงโกเป็นสุนัขที่ไม่เชื่อง ดังนั้น จึงตกเป็นสัตว์ที่ถูกล่าในศตวรรษที่ผ่านมา ปัจจุบัน ดิงโก มีสถานะที่มีความเสี่ยงในการสูญพันธุ์ ในทางตอนใต้และตะวันออกของออสเตรเลีย มีการแบ่งเขตเป็นพื้นที่อนุรักษ์พันธุ์ดิงโก เพื่อไม่ให้ดิงโกเข้ามาปะปนกับมนุษย์หรือสัตว์ชนิดอื่น โดยกั้นเป็นรั้วยาวกว่าครึ่งของประเทศออสเตรเลีย ซึ่งจัดเป็นแนวรั้วที่ยาวที่สุดในโลก
สุนัขป่าชนิดหนึ่ง พบได้เฉพาะที่ออสเตรเลียเท่านั้น มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Canis lupus dingo ดิงโกเป็นสุนัขป่าเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่มีรูปร่างหน้าตาคล้ายสุนัขบ้านมากที่สุด จึงสันนิษฐานว่าบรรพบุรุษของดิงโก สืบเชื้อสายมาจากสุนัขบ้านจากเอเชียอาคเนย์ (รวมถึงประเทศไทยด้วย) โดยเข้ามาอยู่ในออสเตรเลียเมื่อราว 3,000-4,000 ปีก่อน ดิงโกจัดเป็นสัตว์เพียงชนิดเดียวเท่านั้นในวงศ์สุนัข (Canidae) ที่พบในออสเตรเลีย ดิงโกเป็นสุนัขป่าขนสั้น หางเป็นพวง สีขนมีหลากหลายมาก ส่วนใหญ่จะเป็นสีน้ำตาลอมเหลือง ในบางตัวอาจมีสีเทาหรือแดง แม้กระทั่งขาวล้วนหรือดำล้วนก็มี มีอุปนิสัยอยู่รวมกันเป็นฝูงใหญ่ มีนิสัยดุร้ายและปราดเปรียวมาก แม้พื้นที่ ๆ อาศัยอยู่จะเป็นทะเลทรายหรือที่ราบกว้างใหญ่ แต่ดิงโกก็สามารถป่ายปีนก้อนหินหรือหน้าผาได้อย่างคล่องแคล่ว ดิงโกจัดเป็นสัตว์อันตรายชนิดหนึ่งในออสเตรเลีย โดยจะโจมตีใส่สัตว์เลี้ยงของมนุษย์เช่น แกะ หรือ ม้า ได้ แม้กระทั่งโจมตีใส่มนุษย์และทำร้ายจนถึงแก่ความตายได้ด้วย ดิงโกเป็นสุนัขที่ไม่เชื่อง ดังนั้น จึงตกเป็นสัตว์ที่ถูกล่าในศตวรรษที่ผ่านมา ปัจจุบัน ดิงโก มีสถานะที่มีความเสี่ยงในการสูญพันธุ์ ในทางตอนใต้และตะวันออกของออสเตรเลีย มีการแบ่งเขตเป็นพื้นที่อนุรักษ์พันธุ์ดิงโก เพื่อไม่ให้ดิงโกเข้ามาปะปนกับมนุษย์หรือสัตว์ชนิดอื่น โดยกั้นเป็นรั้วยาวกว่าครึ่งของประเทศออสเตรเลีย ซึ่งจัดเป็นแนวรั้วที่ยาวที่สุดในโลก
เป็นสัตว์ในกลุ่มสัตว์จำพวกจิงโจ้ ตัวเมียจะมีกระเป๋าหน้าท้อง สำหรับให้ลูกอ่อนอาศัยอยู่ จากการที่มันมีลักษณะรูปร่าง หน้าตาคล้ายสัตว์ในตระกูลหมี ทำให้คนส่วนมากเรียกมันว่า หมีโคอาลา (Koala bear) ใน พ.ศ. 2341 มีบันทึกครั้งแรกสุดที่พบโคอาล่า พบโดยชาวยุโรปชื่อ จอห์น ไพรซ์ (John Price) ต่อมาพ.ศ. 2346 ข้อมูลรายละเอียดของโคอาลาเริ่มถูกตีพิมพ์ในซิดนีย์กาเซ็ตต์ (Sydney Gazette) ค.ศ. 1816 นักธรรมชาติวิทยาชาวฝรั่งเศส Blainwill ตั้งชื่อทางวิทยาศาสตร์ให้ ชื่อว่า Phascolarctos ซึ่งมาจากภาษากรีก โดยเกิดจากคำ 2 คำ รวมกัน คือคำว่า กระเป๋าหน้าท้องของจิงโจ้ และคำว่า หมี (leather pouch และ bear) ต่อมานักธรรมชาติวิทยาชาวเยอรมัน Goldfuss ได้ตั้งชื่อที่เฉพาะเจาะจงลงไปเป็น cinereus ซึ่งหมายถึง สีขี้เถ้า โคอาลาอาศัยอยู่ในป่าที่มีต้นยูคาลิปตัส ปัจจุบันจะพบโคอาลาได้ที่ รัฐควีนส์แลนด์ รัฐนิวเซาท์เวลส์ รัฐวิกตอเรีย และ รัฐเซาท์ออสเตรเลีย ศัตรูที่สำคัญคือ มนุษย์ ซึ่งล่าเอาขนของมัน โคอาล่ากินใบยูคาลิปตัสเป็นอาหาร ฟันและระบบย่อยอาหารถูกพัฒนามาให้สามารถกินและย่อยใบยูคาลิปตัสได้ ใบยูคาลิปตัวมีสารอาหารน้อยมาก และยังมีสารที่มีพิษต่อสัตว์ แต่ระบบย่อยอาหารของโคอาลามีการปรับตัว ทำให้สามารถทำลายพิษนั้นได้
เป็นแกะพันธุ์ขนที่ให้ขนคุณภาพดี ขนสีขาวละเอียด และใช้เป็นแกะเนื้อได้ด้วย เนื่องจากมีขนาดใหญ่พอสมควร ตัวโตเต็มที่ตัวผู้มีนำหนัก 75 กิโลกรัม ตัวเมียประมาณ 65 กิโลกรัม ตัวผู้มีเขาใหญ่แบบสว่าน ตัวเมียไม่มีเขา มีการผสมพันธ์เป็นฤดู เป็นสัตว์เลี้ยงที่สำคัญและมีชื่อเสียงในทวีปออสเตรเลีย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น