วันอังคารที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2560
คำศัพท์ยอดฮิตที่ใช้ผิดบ่อย !!
1. Fitness : เข้าฟิตเนส
“วันนี้ว่างๆ ไปเข้าฟิตเนสกันไหม?” คนไทยมักเข้าใจผิดว่า “ฟิตเนส” คือสถานที่ออกกำลังกาย ถ้าเผลอไปถามฝรั่งว่า คุณไปฟิตเนสที่ไหน? รับรองได้ว่าต้องมีงง เพราะความจริงแล้วคำว่า “Fitness” ในความหมายที่ฝรั่งหรือชาวต่างชาติทั่วไปเข้าใจคือ แปลว่า “สมรรถภาพของร่างกาย” ไม่ใช่สถานที่ออกกำลังกายอย่างที่เราเข้าใจ และถ้าจะสื่อความหมายของสถานที่ต้องใช้คำว่า “Fitness center” หรือใช้คำว่า “gym” เช่น I’m going to the gym. จะดีกว่า
2. In trend : อินเทรน
ศัพท์ฮิตอีกหนึ่งคำที่มักได้ยินวัยรุ่นใช้บ่อยๆ นั่นก็คือ “อินเทรน” ตามรายการวิทยุโทรทัศน์ต่างๆ ก็มันจะใช้คำนี้กล่าวถึงวัยรุ่นในปัจจุบันว่า “ทันสมัย” เหลือเกินด้วยคำว่า “in trend”น่าจะมาจากประโยคที่ว่า “It is in trend.” มันทันสมัย แต่สำหรับฝรั่งคำว่า “ทันสมัย” จะไม่ใช้คำว่า “in trend” แต่จะใช้คำว่า “trendy” หรือ “fashionable” เช่น It is trendy. หรือ It is fashionable.
3. No have : ไม่มี
ถ้าเราจะบอกว่า “ไม่มี” ในภาษาอังกฤษ คนไทยส่วนใหญ่มักจะพูดว่า “No have” ซึ่งแปลตรงตัวว่าไม่มี แต่ในภาษาอังกฤษถ้าจะบอกว่า “ไม่มี” จะใช้คำว่า “have no” หรือ “I don’t have” เช่น I don’t have any money. หรือ I have no money. ฉันไม่มีเงินเลย แต่สำหรับคำว่า “no have” ที่คนไทยมักใช้กันนั้น ในภาษาอังกฤษไม่มีคำนี้
4. Out of order : หมด
คำที่คนไทยมักจะเข้าใจผิดอยู่บ่อยๆ อีกหนึ่งคำที่จะสื่อความหมายว่า “สินค้าหมด หรือ หมดสต๊อก” นั่นก็คือ “Out of order” ซึ่งความจริงแล้วคำนี้แปลว่า “ชำรุด ใช้การไม่ได้”ส่วนมากจะพบแปะไว้หน้าห้องน้ำห้องที่ปิดประตู หรือเครื่องหยอดเหรียญต่างๆ ถ้าของหมดก็ให้แปะป้ายไว้ว่า “Sold out”หรือ “run out of ...” ก็ได้ หรือสำนวนที่ว่า “We're all out.” หมายถึง “สินค้าหมด” หรือ “To be out of (something)” ให้ความหมายว่า “หมดสต๊อก” เช่นกัน
5. Stop your mouth : หยุดพูด
ขอบอกเลยว่าคำนี้ไม่มีในภาษาอังกฤษ น่าจะเป็นคำว่า “Shut your mouth” มากกว่า หากต้องการให้เพื่อนที่ช่างเม้าท์พูดไม่หยุดของคุณ “หยุดพูด หรือ หุบปาก” จะใช้คำว่า “Shut up” แต่คำนี้จะเป็นคำหยาบในภาษาอังกฤษไม่แนะนำให้ใช้ ถ้าคุยกับเพื่อนให้ใช้ว่า Shut your trap หรือ Shut your neck แต่ถ้าจะให้สุภาพแบบเป็นทางการ ควรใช้คำว่า Please be quiet. หรือ Could you please be quiet?.
6. Over : โอเวอร์
ถ้าคุณมีเพื่อนคนหนึ่งที่ชอบพูด ชอบทำอะไรเกินจริง ก็มักจะพูดว่า “She is over” หล่อนดูโอเว่อร์ หรือดูเว่อร์มาก ซึ่งประโยคนี้ไม่มีในภาษาอังกฤษเลยแม้แต่น้อย ฝรั่งจะใช้คำที่สื่อความหมายถึงคนที่ทำอะไรเยอะเกินจริงว่า “exaggerate” เช่น She always exaggerates about her skills. เขาพูดเว่อร์เกี่ยวกับทักษะและความสามารถของเขา
ดังนั้น ถ้าจะบอกว่า หล่อนดูโอเว่อร์มาก จะใช้ว่า She is exaggerating. หรือจะบอกว่า “อย่าพูดเว่อร์” ต้องบอกว่า“Don’t exaggerate.” หรือถ้าเพื่อนเราเป็นผู้หญิงที่เยอะมาก แสดงทุกอย่างเกินจริงไปหมด เราจะใช้คำว่า “overreact” เช่น Don't overreact! แปลว่า อย่าเว่อร์ และอีกสองคำที่มีความหมายคล้ายกันคือ Don't overdo it! กับ Don't go overboard with this!
7. Pretty : พริตตี้สินค้า
ศัพท์คำนี้คงเป็นที่คุ้นหูหนุ่มๆ เป็นอย่างยิ่งเพราะได้ยินที่ไรใจสั่นทุกที หากจะหมายความถึงนางแบบตามงานอีเว้นท์ต่างๆ โดยเฉพาะงาน motor show ความจริงแล้วคำว่า “pretty” ในภาษาอังกฤษ เป็นได้ทั้งคำคุณศัพท์ (adjective) ที่แปลว่า น่ารัก หรือ สวยน่ามอง เช่น a pretty girl คือ เด็กผู้หญิงน่ารัก ส่วน She has a pretty face. เธอมีหน้าตาน่ารัก
แต่สรุปแล้ว “พริตตี้” ที่คนไทยเรียก ผู้หญิงสวยๆ ตามงานอีเว้นท์นั้น ฝรั่งจะเรียกว่า “model” ที่แปลว่า “นางแบบ” เพียงแต่ให้ระบุไปว่าเป็นงานไหน เช่น model(s) at exhibitions คือ นางแบบที่งานนิทรรศการ เป็นต้น
8. American share : ต่างคนต่างจ่าย
คำว่า “American share” ที่คนไทยชอบพูด เพื่อสื่อว่า"ต่างคนต่างจ่ายนะ (ในสถานการณ์ที่เราอยู่ในร้านอาหารหรือต้องจ่ายตังอะไรซักอย่าง)" ที่จะทำให้คนอเมริกันต้องงง!!! แน่นอน เพราะจริงๆ ถ้าจะหมายถึง “ต่างคนต่างจ่าย” เป็นสำนวนภาษาอังกฤษเก๋ๆ ก็ต้องใช้คำว่า Let’s go Dutch. หรือGo Dutch (with somebody). หรือจะใช้ประโยคง่ายๆ เลยว่า You pay for yourself. (จ่ายในส่วนของตัวเองนะ), Let's just pay separately. (แยกกันจ่ายเถอะนะ),หรือ Everyone pays for their own meal. (ทุกคนจ่ายของตัวเองนะ)
9. Jam : ขอแจมด้วยคน
ในกรณีนี้ “แจม” จะหมายถึง “ขอแจมด้วยคน” ด้วยคน เช่น We are going to eat outside. Do you want to jam? เรากำลังจะออกไปกินข้าวข้างนอก เธอจะไปด้วยมั้ย? ในภาษาอังกฤษไม่ใช้คำว่า “jam” ในกรณีแบบนี้ ที่ถูกต้องควรจะใช้ว่า“join” หรือ “come with us” เช่น Do you want to join us? หรือ Do you want to come with us? (เธอจะไปกับพวกเราไหม?) จะดีกว่า
“Jam" นิยมใช้กันมากเหมือนกัน คนดนตรีใช้คำนี้ได้ไม่ผิดกติกา เช่น Jam Session หมายถึงการร่วมเล่นดนตรีร่วมกัน เช่น Vai, Johnson, Gilbert really enjoyed this G3 jam session and they wished to see this again next year.
10. Back : คนสนับสนุน
“back” คำนี้มีความหมายว่า “หลัง” (อวัยวะ) แต่คนไทยส่วนใหญ่มักจะใช้คำว่า “แบ็ค” เป็นคำกล่าวถึง คนที่คอยสนับสนุนคนๆ หนึ่งเป็นอย่างดี นั่นก็คือ He has a good back. แต่ฝรั่งคงจะงงว่ามันเกี่ยวอะไรกับหลัง และหลังของเขาดีอย่างไร? ดังนั้น ถ้าใช้ให้ถูกต้องใช้คำว่า “a backup” ซึ่งหมายถึง คนหรือสิ่งของที่ช่วยสนับสนุน ช่วยเหลือ เกื้อกูล เป็นกำลังใจให้ เช่น He has a good backup. หรือ "support" ก็เป็นอีกหนึ่งคำที่แปลว่า สนับสนุน นั่นเอง
11. Check bill : เช็คบิล
อีกหนึ่งคำยอดฮิตที่ได้ยินบ่อยๆ "น้องๆ เช็คบิลหน่อย" แต่ความจริงแล้วถ้าเราจะใช้ประโยคว่า “คิดเงินด้วยคะ” คนอังกฤษจะใช้คำว่า “bill (บิล)” เช่น Bill, please. (ขอบิลด้วยครับ) ส่วนคนอเมริกันจะพูดว่า "Check, please." (ขอเช็คด้วยครับ) ซึ่งแปลว่า คิดเงินด้วยครับ/คะ แต่คนไทยมักใช้รวมกันว่า “check bill” ซึ่งผิดควรเลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่งจะดีกว่า เช่น
Can we get the check/bill, please? (เก็บตังหน่อยครับ)
Could we have the check/bill, please? (เก็บเงินหน่อยได้มั้ยครับผม) อันนี้เป็นแบบสุภาพ
12. Hi-so : ไฮโซ
คำนี้ ทุกคนเข้าใจว่ามาจาก High Society ซึ่งก็ไม่ได้ผิดอะไร เช่น "คู่นี้เขาเป็นแฟนกันได้อย่างไร? ญาญ่าแต่งตัวไฮโซ ส่วนณเดชแต่งตัวโลโซมาก" เป็นอันว่าคนไทยเข้าใจ แต่เวลาไปสื่อสารกับฝรั่งต่างภาษา ไม่เข้าใจแน่นอน ควรใช้ว่า "Classy" หรือ "Hi-Class" สำหรับการจะบอกว่าใคร ดูดีมีระดับจะดีกว่า
13.Mansion : ห้องพัก
เวลาฝรั่งถามคนไทยว่าพักอยู่ที่ไหน คนไทยบางคนชอบบอกว่าอยู่ “แมนชั่น" หรือ "mansion” แปลว่า “คฤหาสน์" ซึ่งก็อาจจะทำให้ฝรั่งบางคนตาค้าง ในความรวยของเรา ดังนั้น Mansion เป็นศัพท์ที่คนไทยเอามาใช้แบบผิดๆ ถึงแม้ว่า หน้าหอพักจะเขียนว่า ‘แมนชั่น’ ก็ตาม คราวหน้าหากมีฝรั่งมาถามอีกก็ให้บอกว่า เราพักอาศัยอยู่ที่ "Flat"หรือ "Apartment" จะดีกว่า
14. Never mind : ไม่เป็นไร
เรามักจะได้ยินคนไทยส่วนใหญ่เวลาจะพูดคำว่า “ไม่เป็นไร” สำหรับภาษาไทยนั้นคำว่า ไม่เป็นไรสามารถใช้ได้ทั้งการมีคนมา “ขอบคุณ” และ “ขอโทษ” เรามักจะตอบว่าไม่เป็นไร แต่ไม่ใช้คำว่า “never mind” เพราะที่ถูกต้องแล้ว “never mind” จะแปลว่า “ช่างมันเถอะ หรือ ลืมมันซะ” ตัวอย่างเช่น เวลาที่เราอธิบายอะไรสักอย่างให้เพื่อนฟัง แต่เพื่อนก็ดันไม่เข้าใจสักที เราก็เลยบอกเพื่อนไปว่า “never mind” ช่างมันเถอะ เพราะฉันขี้เกียจอธิบายแล้ว
ถ้าเราจะพูดว่า “ไม่เป็นไร” เวลาที่มีคนมาขอบคุณเราต้องพูดว่า You’re welcome (ด้วยความยินดี), My pleasure (ยินดี), Don’t mention it (ไม่เป็นไร) หรือวลีที่ว่า No biggieและ No big deal แปลว่า ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ถ้ามีคนมาขอโทษแล้วจะบอกว่า “ไม่เป็นไร” เช่น No problem (ไม่มีปัญหา), Don’t worry about it (อย่ากังวล, อย่าคิดมาก) เป็นต้น
ภาษาอังกฤษที่เราใช้แบบผิดๆ ก็มองได้อีกอย่างหนึ่งคือการยืมคำภาษาอื่นมาใช้แต่งเติมคำในภาษาตัวเอง แต่เนื่องด้วยความเคยชินและความเข้าใจแบบผิดๆ นี้เองก็อาจทำให้เรื่องผิดกลายเป็นเรื่องถูกได้ แต่ใช้ได้ในประเทศไทยและกับคนไทยเท่านั้น ถ้าเราต้องการพูดสื่อสารกับชาวต่างชาติที่เป็นเจ้าของภาษาอังกฤษ การเข้าใจความหมายตามหลักสากล จะช่วยให้การสื่อสารเป็นไปในทางเดียวกัน ไม่เกิดความเข้าใจผิดหรือหลงประเด็นเป็นอย่างอื่นได้นั่นเอง.
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น